DSIลุยคดีนอมินี‘ไชน่าเรลเวย์’
บุกค้น4บริษัท
ยึดเอกสารหลักฐานสำคัญ
ออกหมายเรียกพยาน3กลุ่ม
บ.ก่อสร้าง-ทำบช.-ยื่นราคา
คาดถล่มจากการออกแบบ
“มท.1”เผยกก.สอบโครงสร้าง “ตึกสตง.” ถล่ม พุ่งเป้าที่ “การออกแบบ-ปล่องลิฟต์อสมมาตร” รับไม่สบายใจหลังเจอปม “ปลอมลายเซ็น”วิศวกร ชี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องดำเนินคดี เริ่มจ่ายเยียวยารายละ 1 แสน ผู้เสียหายเจ็บ-ตายได้ 18 เม.ย. ด้านดีเอสไอขอหมายค้น 4 จุดโยงคดีนอมินีบ.ไชน่าเรลเวย์ฯ ผู้ก่อสร้างตึก ยึดเอกสารหลักฐานมาตรวจสอบ ด้าน’โฆษกดีเอสไอ’เผยประสาน’วิศวกรอายุ 85 ปี’ มีชื่อเป็นผู้ออกแบบเข้าให้ข้อมูลสำคัญ ขณะที่พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพยาน 3 กลุ่มแล้ว ขณะที่ พนักงานบ.ร่วมค้า PKWเข้าให้ข้อมูลDSI ปัดไม่ใช่’วิศวกรคุมงาน’ แฉพิรุธถูกเรียกถ่ายรูประหว่างตรวจสร้างตึก
เมื่อวันที่ 17 เมษายน ที่กระทรวงมหาดไทย(มท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยกล่าวถึงความคืบหน้าคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการก่อสร้างอาคาร สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ที่ถล่มลงมาขณะเกิดแผ่นดินไหวว่า เบื้องต้นวางกรอบการสืบสวนไว้แล้ว โดยคณะกรรมการฯได้มารายงานต่อนายกรัฐมนตรีและตนแล้ว
พุ่งเป้าปล่องลิฟท์อสมมาตร-ออกแบบ
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขณะนี้พอจะทราบหนึ่งในสาเหตุ ตรงกับที่ศ.กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย ตั้งข้อสันนิษฐานว่าปล่องลิฟท์อสมมาตร ถือเป็นสองหน่วยงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่ใช้ข้อมูลวิเคราะห์คำนวณหาสาเหตุ เราต้องคำนวณเชิงลึกเพื่อหาสาเหตุให้มั่นใจว่า ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะเป็นเรื่องของวิศวกรรมศาสตร์ ต้องถูกพิสูจน์ด้วยการคำนวณ
“คณะกรรมการจะพุ่งเป้าไปที่การออกแบบก่อน โดยเฉพาะเรื่องการออกแบบที่ไม่สมมาตรกับตึก เมื่อมีเหตุแผ่นดินไหว มีการแกว่งของตัวตึกพอเป็นอาคารที่ไม่สมบูรณ์แล้วจะเกิดแรงบิดต้องดูว่าเมื่อเกิดเหตุค่าสัดส่วนความปลอดภัย (Safety Factor) ที่ต้องทนต่อแรงบิด แรงเฉือน ได้ออกแบบเผื่อไว้ตามหลักหรือไม่”นายอนุทินกล่าว และว่า กรมโยธาธิการและผังเมืองมีหน้าที่ตรวจสอบหาสาเหตุตึกถล่มเชิงวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนเรื่องการทำผิด ทุจริต และฮั้วประมูลไม่ใช่หน้าที่ ถ้ามีข้อมูลจะส่งให้สตง.เจ้าของโครงการทราบเพื่อไปดำเนินการต่อ
ปลอมลายเซ็นเรื่องใหญ่ต้องดำเนินคดี
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีพบว่าบริษัทผู้ควบคุมงานมีการปลอมลายเซ็น และใช้วิศวกรที่มีอายุมากถึง 85 ปี นายอนุทินกล่าวว่า ยอมรับในฐานะวิศวกรคนหนึ่ง ตนฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องวิชาชีพไม่ควรมีการปลอมลายเซ็นได้ เหมือนแพทย์ไปออกใบรับรองแพทย์ที่ไม่ถูกต้องหรือตรงหลักความเป็นจริงก็ถือว่าผิดหลักจรรยาบรรณ การปลอมลายเซ็นหากเกิดขึ้นจริงถือเป็นเรื่องใหญ่ ต้องดำเนินคดี เร็วๆนี้จะเชิญอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง มาหารือว่ามีหน้าที่ควบคุมจรรยาบรรณของสายวิชาชีพหรือไม่ สภาวิศวกรที่เป็นคนออกใบอนุญาตให้หน่วยงานด้านวิศวกรรมก็ขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย ตนเป็นสภานายกพิเศษสภาวิศวกรก็ต้องดูเรื่องนี้
“หากมีการปลอมลายเซ็นจริง ปลอมแปลงเอกสาร อ่านจากข่าวได้ข้อมูลว่ามีท่านหนึ่งที่เป็นผู้อาวุโสบอกว่าส่งมาก็เซ็น แบบนั้นไม่ได้ ความเป็นวิชาชีพห้ามพูดแบบนั้นเป็นอันขาด การจะเซ็นอะไรเกี่ยวกับความปลอดภัย ต้องใช้ใบอนุญาตต้องเข้มงวด และได้รับการปฏิบัติด้วยตนเอง” นายอนุทิน กล่าว
ย้ำรอฟังกก.สอบทำงานเช่นผู้พิพากษา
นายอนุทินกล่าวถึงกรณีคณะกรรมการฯใช้เวลาสืบสวนสอบสวนนาน 90 วันว่า คณะกรรมการเป็นอาจารย์ เป็นนายกสภาวิศวกร เป็นกรรมการวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนของคณะวิศวกรรมศาสตร์จากสถาบันและมหาวิทยาลัยที่น่าเชื่อถือ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเทคนิค เขาบอกว่า 90 วัน เราร้องขอที่จะทำให้มันเร็วขึ้นแต่คณะกรรมการยืนยันว่าเรื่องนี้ หากผลสอบออกมาแล้วต้องไม่มีข้อโต้แย้ง ผิดคือผิด คณะกรรมการจะทำงานเช่นเดียวกับผู้พิพากษา ต่างคนต่างไปคำนวณเชิงลึกแล้วนำมาหารือร่วมกันอีกครั้ง หากตนบอกว่าไม่ได้ ต้องขอภายใน 15 วัน ถือเป็นการก้าวก่ายหรือล่วงละเมิด
มอบเงินเยียวยารายละแสนเริ่ม18เมย.
นายอนุทินกล่าวอีกว่า การจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้ญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ขณะนี้เงินทดรองอยู่ในมือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แล้ว แต่ละจังหวัดจะประสานข้อมูลของญาติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว คาดว่าวันที่ 18 เมษายน จะเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้รายละ 100,000บาท ตามที่ได้ขอยกเว้นหลักเกณฑ์ไว้กับกรมบัญชีกลาง นอกจากนี้ยังได้รับรายงานจาก นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีปภ.ว่ามีญาติผู้เสียชีวิตที่ยังรอการกู้ร่างในซากตึกอีก 1 ราย คาดว่าจะนำเงินไปมอบช่วยเหลือให้ที่หน้าไซต์งาน ส่วนผู้สูญเสียรายอื่นจะมอบเงินตามหลักเกณฑ์ ไปยังภูมิลำเนาของญาติ ทั้งรูปแบบการโอนผ่านพร้อมเพย์ หรือมอบเป็นเงินสด ย้ำว่า เงินดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น ผู้สูญเสียยังไปเรียกร้องตามกระบวนการทางกฎหมายเพิ่มเติมได้อีก
DSIเร่งสอบ4สัญญา-พบมีการแก้แบบ
ด้านพ.ต.ต.วรณันศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีนอมินี บริษัทไชน่า เรลเวย์นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ก่อสร้างอาคารสตง.ที่ถล่ม ซึ่งดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษที่ 32/2568 เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนว่า จากกรณีเรื่องสัญญา 4 ฉบับที่ดีเอสไอกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง ประกอบด้วย 1.สัญญาออกแบบโครงสร้าง ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมืองไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ มีบริษัทเอกชนเป็นผู้ออกแบบ) 2.สัญญาควบคุมงาน 3.สัญญาก่อสร้าง และ4.สัญญาเปลี่ยนแบบหรือสัญญาขอแก้ไขเพิ่มเติมแบบ ซึ่งคือส่วนควบของสัญญาก่อสร้าง และสัญญาออกแบบโครงสร้างก็ได้ เนื่องจากมีการแก้แบบระหว่างทาง เพราะการแก้ไขแบบก็ต้องให้คนออกแบบเป็นผู้อนุมัติ ดังนั้น บริษัทที่เกี่ยวข้องจะเป็นบริษัทผู้ออกแบบคือ บริษัท ฟอ-รัมอาร์คิเทค และบริษัทไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด
พ.ต.ต.วรณันกล่าวต่อว่า ตามขั้นตอนแล้วต้องเริ่มตั้งแต่ผู้รับเหมาเสนอไปที่ผู้ควบคุมงาน จากนั้นหากผู้ควบคุมงานเห็นด้วย ก็เสนอผู้ออกแบบว่าอนุมัติหรือไม่ หากผู้ออกแบบอนุมัติว่าทำแล้วไม่กระทบกับโครงสร้างก็เสนอคณะกรรมการเพื่อตรวจการจ้างฯ ส่วนการออกแบบและการแก้ไขแบบต้องมีผู้แทนของ สตง.อนุมัติหรือไม่นั้น ทราบว่าจะมีคณะกรรมการบริหารเรื่องสัญญาจ้างอยู่ ตามหลักการแล้วอะไรที่รัฐเซ็นไปแล้ว รัฐต้องได้ประโยชน์
เค้นสอบปมนอมินี-ฮั้วประมูล
พ.ต.ต.วรณันเผยอีกว่า สำหรับการรับเป็นคดีพิเศษนั้น ดีเอสไอดำเนินการเป็นคดีพิเศษ 2 ฐานความผิดภายใต้เลขคดีพิเศษที่ 32/2568 ได้แก่ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 บริษัทไชน่า เรลเวย์ฯ และความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 7 (ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวง หรือทำการวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด โทษจำคุก 1 ปี-5 ปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่เสนอราคาสูงสุดระหว่างผู้ร่วมทำผิดหรือของจำนวนเงินที่ทำสัญญากับหน่วยงานรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า)
และมาตรา 8 (ผู้ใดโดยทุจริตทำการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐโดยรู้ว่าราคาที่เสนอนั้นต่ำมากเกินกว่าปกติจนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้าหรือบริการ หรือเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐสูงกว่าความเป็นจริงตามสิทธิที่จะได้รับ โดยมีวัตถุประสงค์เป็นการกีดกันการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและการกระทำเช่นว่านั้นเป็นเหตุให้ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ ต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี - 3 ปี และปรับ50%ของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคา หรือของจำนวนเงินที่ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) เนื่องจากต้องดูว่ามีการใช้กลอุบายจนได้สัญญามาหรือไม่ ซึ่งการฮั้วประมูลมีหลายมิติ ไม่จำเป็นต้องเป็นเอกชนมาฮั้วกัน แต่ถ้าแข่งขันโดยใช้กลอุบาย แล้วทำให้ได้มาซึ่งสัญญา ก็เป็นความผิดฮั้วได้ ต้องพิจารณาองค์ประกอบทุกมิติ
ล่าคนปลอมลายเซ็น-อ้างชื่อวิศวกร
พ.ต.ต.วรณันยังกล่าวถึงประเด็นบทบาทของนายพิมล (สงวนนามสกุล) อายุ 85 ปี บุคคลที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมให้สัมภาษณ์ว่า เป็นลายเซ็นผู้ออกแบบนั้น ทราบว่าเจ้าตัวมีชื่อเป็นผู้ออกแบบ ขณะที่นายสมเกียรติ ชูแสงสุข เป็นคนที่มีชื่อเป็นคนขอแก้ไขแบบในฐานะผู้ควบคุมงาน ซึ่งทั้งคู่เป็นคนละขั้นตอนกัน ดังนั้น คนที่ไปปลอมลายเซ็น แอบอ้างชื่อนายสมเกียรติคือใครนั้น ดีเอสไออยู่ระหว่างขยายผล ทั้งนี้ ใจความสำคัญที่เรายึดเป็นแกนกลางคือ ตึก สตง.ประสงค์ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นผู้ออกแบบให้ แต่ด้วยกรอบเวลา 180 วัน กรมโยธาฯไม่สามารถออกแบบได้ทัน จึงเป็นสิทธิ์ของสตง.ที่จะจ้างบริษัทเอกชน ทำให้เราเห็นว่าในกระบวนการสร้างตึก สตง. นี้มีวิศวกรเข้ามาเกี่ยวข้องกี่รายเป็นใครบ้าง
บุกค้น4จุดโยงคดีนอมินีไชน่าเรลเวย์ฯ-
ทั้งนี้ วันที่ 16เมษายนที่ผ่านมาดีเอสไอประสานนายพิมลเข้าให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ รายละเอียดที่จะใช้สอบถามเป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความเสียหายของประเทศเป็นจิ๊กซอว์อีกชิ้นมาต่อกับภาพอื่นในคดีได้ ดีเอสไอรวบรวมพยานหลักฐานจนเห็นว่าใครเกี่ยวข้องช่วงใดของงาน เกี่ยวข้องอย่างไร จึงเริ่มออกหมายเรียกพยานนิติบุคคลเข้าให้ข้อมูลคดี
มีรายงานเพิ่มเติมจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษว่า ดีเอสไอรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลาอาญารัชดาภิเษกออกหมายค้นพื้นที่เป้าหมาย 4 จุด ได้แก่ 1.สำนักงานใหญ่ของนายบินลิง วู2.บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด 3.บริษัท ว และสหายคอลซัลแตนตส์ จำกัด และ 4.บริษัท เคพี คอลซัลแทนส์ จำกัด เพื่อตรวจค้นและยึดพยานเอกสาร พยานวัตถุที่เกี่ยวข้องในคดีที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษที่ 32/2568 หรือคดีนอมินี บริษัท ไชน่า เรลเวย์นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด
ออกหมายเรียกพยาน3กลุ่มให้ปากคำ
ขณะเดียวกัน มีการจัดลำดับกลุ่มหมายเรียกพยานของดีเอสไอ ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน- 15 พฤษภาคมมีรายงานว่า แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มประกอบด้วย 1.กลุ่มผู้รับงานก่อสร้างและผู้เกี่ยวข้อง 7 ราย คือ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) , บริษัท ไชน่า เรลเวย์นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด , นายเวนจี้ ลู, นายบินลิง วู, นายโสภณ มีชัย , นายประจวบ ศิริเขตร, นายมานัส ศรีอนันท์
2.กลุ่มผู้ทำบัญชีและตรวจสอบบัญชี 6 ราย คือ น.ส.ศุทธวีร์ (สงวนนามสกุล) , น.ส.ธีรดา (สงวนนามสกุล) , น.ส.มณีรัตน์ (สงวนนามสกุล) , นายนครินทร์ (สงวนนามสกุล) , นายวรพจน์ (สงวนนามสกุล) , น.ส.พิชญพร (สงวนนามสกุล)3.กลุ่มผู้เสนอราคา (ไม่รวมกิจการร่วมค้า ITD) 6 ราย คือ บริษัท อาคาร 33 จำกัด , บริษัท กิจการร่วมค้า ยูเวิร์คนีโอแอนด์มาร์ชเทน จำกัด , บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) , บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (จำกัด) มหาชน , บริษัท เอ็นเเอล ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และ กิจการร่วมค้าวรเรียล
พนง.ร่วมค้าPKWให้ข้อมูลDSIปัดคุมงาน
แหล่งข่าวจากดีเอสไอเผยความคืบหน้าการตรวจสอบคดีตึกสตง.ถล่ม ซึ่งเป็นคดีพิเศษที่ 32/2568 ตามความผิด พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (นอมินี)และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542(ฮั้วประมูล) มาตรา 7 มาตรา 8 ว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน นายชัยฤทธิ์ (สงวนนาม สกุล) พนักงานบริษัท ว.และสหายคอนซัลแตนตส์ จำกัด ตำแหน่งวิศวกร เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ดีเอสไอ เพื่อให้ข้อมูล กรณีอาจถูกแอบอ้างเป็นผู้ควบคุมงานตึก สตง. โดยชี้แจงว่าไม่ได้เป็นผู้ควบคุมงานตึกสตง. แต่เจ้าตัวเป็นพนักงานบริษัทที่มีชื่อในกิจการร่วมค้า PKW (พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ / ว.และสหายฯ / เคพี คอนซัลแทนส์) และถูกเกณฑ์ไปถ่ายรูปขณะควบคุมงาน ตรวจงานในตึกระหว่างก่อสร้าง สตง. เพื่อให้ดูว่ามีการควบคุมงานจริง เลยสงสัยว่าเรียกไปถ่ายรูปทำไม กระทั่งเริ่มมีข่าวปลอมลายเซ็น จึงทราบว่าน่าจะถูกหลอกลักษณะเดียวกัน
แหล่งข่าวดีเอสไอเผยอีกว่า ส่วนนายชัยฤทธิ์จะถูกปลอมลายเซ็นด้วยหรือไม่ เจ้าตัวยอมรับว่าจำไม่ได้ แต่ตามหลักการเชื่อว่าอาจมีเพราะต้องลงลายเซ็น โดยปกติการควบคุมงานของบริษัทต่างๆจะรวบรวมรายชื่อวิศวกรทั้งหมดไปเพื่อเสนองาน และเมื่อเริ่มก่อสร้างต้องมีรายการเบิกจ่ายทำให้ต้องมีผู้ควบคุมงานอยู่ตลอดเวลาว่ามีอะไรเข้ามาบ้าง เช่น วัสดุอุปกรณ์หรือเป็นไปตามแบบหรือไม่ โดยวิศวกรควบคุมงาน
พฐ.ยันพิสูจน์อัตลักษณ์ได้แล้ว33ศพ
ที่ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีอาคาร สตง. ถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหว ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ พล.ต.ต. วาที อัศวุตมางกุรผบก.พฐก.โฆษกสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ แถลงความคืบหน้าการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล เพื่อพิสูจน์ยืนยันตัวตน เพื่อส่งคืนศพให้ญาติไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีว่า ศูนย์ได้ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล โดยเก็บข้อมูลผู้สูญหายและDNA จากญาติ 97 ราย เพื่อใช้เปรียบเทียบกับศพที่ส่งมายังสถาบันนิติเวชตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม-17 เมษายน มีศพเข้ากระบวนการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล 42 ราย และชิ้นส่วนศพจำนวนมาก ซึ่งตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลยืนยันผู้เสียชีวิตเป็นใครได้ 33 ราย แจ้งญาติมารับศพแล้ว
นายกฯเรียกถกคืบหน้า18 เม.ย.
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าผลสอบตึกสตง.ถล่มว่า มีข้อมูลประปรายเข้ามา ซึ่งจะเรียกประชุมวันที่ 18 เมษายน ซึ่งตนขอข้อมูลทั้งหมดที่เป็นรูปเป็นร่าง จะดูว่ามีฟีดแบ็กเป็นอย่างไรบ้าง เพราะตอนนี้ได้ข้อมูลมาเป็นชิ้นๆในภาพรวม เร่งอยู่ตลอด ไม่ต้องห่วงไม่ได้ปล่อยมือไปไหน ผู้สื่อข่าวถามว่า การตรวจสอบทุจริตของโครงการก่อสร้างจะถือโอกาสนี้สะสางเลยหรือไม่ นายกฯไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว
ยอดตาย44ยังสูญหาย50ราย
ด้านความคืบหน้าการเก็บกู้ซากอาคาร สตง.ที่ถล่มลงมาจนถึงขณะนี้ ข้อมูลถึงวันที่ 17 เมษายน เวลา 10.00น. จำนวนผู้ประสบภัยอยู่ที่103ราย เสียชีวิต44ราย บาดเจ็บ 9ราย ยังสูญหาย50ราย
ส่วนการรื้อถอนอาคารขณะนี้ความสูงจากยอดที่เป็นกองปูน 14 เมตร ประมาณการขณะนี้การรื้อถอนอยู่ชั้น 19 ปรับแผนเพิ่มทีมใช้ถังออกซิเจนตัดเหล็ก 20 ชุด จากเดิมมี 10 ชุด เวลาปฏิบัติ 12.00-14.00 น. และ 04.00-07.00 บ. ป้องกันเหตุซ้ำช้อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี