ผบ.ตร.ไม่ปลื้มเรียก‘อาต่าย’
‘พีช’โผล่ขอโทษ
ซิ่งBMWปะทะกระบะ
ตร.ฟันคดีไม่มีใบขับขี่
ปรับซ้ำอีกฝ่ายละ4พัน
ขับรถประมาทกันทั้งคู่
“นายกเบี้ยว” ควง “พีช” ลูกชาย ออกโทรทัศน์ขอโทษ กรณีซิ่งBMW ป้ายแดง ปะทะกระบะจนลุงเจ็บสาหัส ตำรวจจัดเต็มแจ้งข้อหาไม่มีใบขับขี่ พร้อมทั้งปรับ 2 ฝ่ายรายละ 4 พัน ข้อหาขับรถประมาท ด้าน “บิ๊กต่าย” ผบ.ตร.ลมออกหูซัด “ลูกนายกเบี้ยว”โอ้อวดเรียก “อาต่าย” รู้จักคนในรัฐบาล ย้ำ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 ความคืบหน้ากรณี นายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือ พีช อายุ 28 ปี ลูกชายนักการเมืองดังปทุมธานี ขับรถยนต์หรู BMWป้ายแดง ปาดหน้ารถกระบะจนเกิดอุบัติเหตุ โดยนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ นายกเบี้ยว อดีตนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี พร้อมพีช มาออกรายการคนดังนั่งเคลียร์ ช่อง 8 โดยมี เมย์ ชนิตร์นันทน์ เป็นผู้ดำเนินรายการในช่วงแรก พีช เปิดใจว่าตอนแรกที่เกิดเรื่อง ตกใจ เลยหนีไปอยู่บ้านเพื่อน กลัวว่า พ่อจะว่า
ด้านนายกฤษฎากล่าวว่า เมื่อลูกผิดพลาดจะซ้ำเติมก็ไม่ได้ โดยตอนแรกพีช ก็ยังยืนยันว่าตัวเองโดนก่อน แต่เมื่อดูจากคลิปต่างๆ ได้พยายามอธิบายให้เข้าใจว่าเป็น 2 เรื่อง คือ สิ่งที่กระบะทำให้เกิดความเสียหาย และสิ่งที่พีช ได้ขับรถไป ส่วนที่พูดว่า พีช ขับรถดี เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยขับรถชน เพิ่งเกิดเรื่องในครั้งนี้ ผมเห็นใจคุณลุง คุณป้ามาก ผมเป็นตัวแทนประชาชน ดูแลประชาชนมาทั้งชีวิต ลูกเราทำเรื่องขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ก็ยืนยันว่า จะดูแลทั้งคุณลุง คุณป้าอย่างดี
ต่อมา ทางรายการเปิดคลิปเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิด ในช่วง กม.26+100 ที่รถกระบะของคุณลุงและคุณป้าขับเปลี่ยนช่องทางกะทันหัน ตัดหน้ารถ BMW ซึ่งวิ่งมาทางช่องขวาสุดเสียหลักไปชนขอบทาง
ด้าน พีช เผยว่า กำลังเก็บของที่ตกอยู่ที่นั่งข้างคนขับ จนมาถึงทางแยก รถกระบะเบียดซ้าย ทำให้รถขูดกับแบริเออร์ ยืนยันชะลอแล้ว โดยตอนนั้นขับความเร็วอยู่ที่ 80-100 กม/ชม. และกระบะขับเร็วกว่าตน ซึ่งไม่คิดมาก่อนว่ากระบะจะเข้ามาเลนส์ของตน ซึ่งขับผ่าเส้นปะเลย ส่วนเหตุผลที่ไม่เบรก คิดว่าหลบทัน และไม่ชนแน่นอน
เมื่อถามว่า เหตุการณ์ในคลิปที่เห็นว่าขับไล่กัน เกิดไรขึ้น พีชตอบว่า รถกระบะขับเบียดรถตนจนชนแบริเออร์ ตอนนั้นตกใจ อยากให้จอดและลงมาคุย จึงดักหน้า และขับตีคู่ เปิดกระจกให้เขาจอด จึงรู้ว่าเป็นคุณป้า กับคุณลุง ตนพูดย้ำว่า “จอดครับ จอดครับ” พร้อมกับขับมือเดียว หันมาอีกที รถชนกันพอดี
พีชกล่าวยอมรับว่า เป็นการกระทำไม่ดี และไม่มีเจตนา ทำให้รถชนกัน และให้คุณลุงคุณป้าได้รับบาดเจ็บ อยากให้หยุดมาคุยกันเฉยๆ เพราะรถตนเป็นรอย
“ถ้าตั้งใจชน พีชคงชนไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่มีเจตนา ให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน” พีชกล่าวและพอมาเห็นว่ากระบะบาดเจ็บหนัก จึงถอยรถมาดู ก็รู้สึกตกใจ ส่วนในตอนแรกใส่เสื้อสีเขียว ผู้สมัคร สท.ธัญบุรี จึงเปลี่ยนเสื้อเพราะ ไม่อยากให้ภาพรวมเสีย เปลี่ยนเสื้อเป็นสีดำ
เมื่อถามว่า ยอมรับไหมว่าหัวร้อน พีช กล่าวว่า ไม่ได้หัวร้อน แต่โกรธที่มาเบียดรถจนชนแบริเออร์ ส่วนตอนที่บอกว่า คุณป้ายกมือไหว้แล้ว ตนไม่เห็น มัวแต่โบกเรียก สลับกับมองทางขับรถ จนเกิดอุบัติเหตุ
เมื่อถามว่า ถ้ารู้ว่าเป็นคุณลุงคุณป้า จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ พีชกล่าวว่า คงไม่ทำอย่างนี้แน่นอน สมมติเสียชีวิตอีกตนก็เครียด ตอนนี้ตนก็เครียด เขาอายุเยอะ มาคิดว่า ถ้าเป็นพ่อแม่เราบ้าง ตนขอโทษคุณลุงคุณป้า
เวลา 13.30 น. ที่ สถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจทางหลวง พ.ต.อ.กึกก้อง ดิศวัฒน์ ผกก.8 บก.ทล. พร้อมด้วย พ.ต.ท.ธิติ พันธ์สวัสดิ์ รอง ผกก.(สอบสวน) สทล.2 กก.8 บก.ทล. พ.ต.ท.จำเริญ หนูรัก สว.(สอบสวน) สทล.2 กก.8 บก.ทล. เข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในส่วนความผิดตามพรบ.จราจร กรณีขับรถเบียดกันบนทางด่วนมอเตอร์เวย์ ระหว่างนายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือพีช ลูกนักการเมืองดังจังหวัดปทุมธานี กับ ชาวบ้าน
ภายหลังการประชุมพ.ต.อ.กึกก้อง เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าว การทำคดีแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยตำรวจทางหลวง จะรับผิดชอบในส่วนแรก คือช่วงที่รถทั้งสองคันได้ขับออกจากช่องทางจ่ายเงิน M – Flow จากนั้นรถกระบะได้เบี่ยงจากเลนซ้ายไปขวา โดยไม่เปิดสัญญาณไฟจราจร ส่วนรถ BMW อยู่ในเลนขวาไม่ได้มีการชะลอความเร็ว ทำให้เกิดเหตุปาดกันขึ้น เบื้องต้นพนักงานสอบสวนเตรียมจะแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย ตามพ.ร.บ.จราจรทางบก กับทั้งสองฝ่าย มีโทษปรับไม่เกิน 4,000 บาท
พ.ต.อ.กึกก้อง กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในส่วนของนายพีช ก็จะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มอีก คือ ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต เพราะตรวจสอบแล้วพบว่าใบขับขี่หมดอายุไปตั้งแต่ 27 มิถุนายน 2564 และในเรื่องของความเร็วที่ใช้ระหว่างเข้าด่านเก็บเงิน M-Flow ที่จะเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ก็จะต้องทำการตรวจสอบอีกครั้ง เนื่องจากในวันดังกล่าวเป็นวันหยุดสงกรานต์ ซึ่งไม่เสียค่าบริการ อีกทั้งวันเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้ทำการตรวจวัดแอลกอฮอล์ของนายพีช ที่บริเวณหน่วยบริการทางหลวงมอเตอร์เวย์แล้ว แต่ไม่พบมีปริมาณแอลกอฮอล์ โดยทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ช่วงเวลา 10.56 น. ห่างจากเวลาที่เกิดเหตุประมาณ 2 ชั่วโมง
พ.ต.อ.กึกก้อง กล่าวว่าส่วนกรณีทะเบียนป้ายแดงของเก๋งบีเอ็มได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่า มีตราปั๊มนูน แต่ตรวจสอบไม่พบในฐานข้อมูล จึงจะต้องส่งให้ทางกรมการขนส่งทางบกตรวจสอบอย่างละเอียด หลังจากนี้ก็จะให้ทางนายพีช นำเอกสารทะเบียนป้ายแดงมายืนยันว่าทางโชว์รูมเป็นผู้ออกให้หรือไม่ รวมถึงนำรถ BMW มาให้ตำรวจตรวจสอบด้วย หากพบความผิดจึงจะส่งทั้งเอกสารและรถให้พนักงานสอบสวนสภ.ลำลูกกา รับไปดำเนินคดีอาญา ความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารทางราชการ ต่อไป ขณะที่คดีความผิดในช่วงที่ 2 ที่นายพีชชนลุงรถกระบะจนได้รับบาดเจ็บสาหัส นั้นเป็นคดีอาญา ก็เป็นความรับผิดชอบของสภ. ลำลูกกา ทั้งนี้ทราบว่าช่วงเย็นของวันนี้ทางผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดของนายพีช ได้ประสานมาทางตำรวจทางหลวงว่า จะพานายพีช เข้ามาให้ปากคำ ส่วนด้านลุงขับรถกระบะ คงต้องรอให้รักษาตัวหายก่อน ก็มีการเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหาภายหลังต่อไป
ก่อนหน้านี้ ในเช้าวันเดียวกัน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ชี้แจงกรณี นายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือ นายพีช ผู้ขับรถ BMW คู่กรณีรถกระบะ อ้างว่ารู้จักโดยใช้คำเรียกขาน”อาต่าย”โดยพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ หัวเราะพร้อมย้ำว่า ทุกคน สามารถเรียกตนว่าอาต่ายได้ ตนได้ดูคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และได้เน้นย้ำไปทาง ตำรวจทางหลวง ตำรวจภูธร ในเรื่องการดำเนินคดี และอยากให้แยก มิติของการรู้จัก กับความเป็นญาติ ซึ่งในความเป็นตำรวจ ก่อนที่ตนจะได้เป็น ผบ.ตร. รู้จักคนมาเป็นจำนวนมาก ฝนตกตัวไม่เคยปิดกั้นใคร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองท้องถิ่น สส. ตนเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว
“คุณพ่อ(นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือนายกเบี้ยวอดีตนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี)ของผู้ก่อเหตุ ผมก็รู้จัก ยอมรับว่ามีคนอยากถ่ายรูปกับผม ซึ่งผมก็ถ่ายด้วย ยิ่งเมื่อผมก้าวขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.มีคนอยากเป็นลูกเป็นหลานผมเยอะ และทุกคนก็เรียกผมว่า อาต่าย ซึ่งผมได้ย้ำกับตำรวจทุกคนว่าเราทำงานใกล้ชิดกับประชาชน ขอให้ทำตัวเหมือนญาติ ใครจะเรียกเราน้า หรือ อาเป็นเรื่องที่ดี ผมไม่ชอบให้ใครมาเรียกว่าท่าน ดังนั้น ความใกล้ชิดหรือรู้จักกันเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่เด็กคนนี้กระทำเราแยกออกไป และยืนยันว่าผมไม่มีญาติแบบนี้ ผมตระกูลพันธุ์เพ็ชร์ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางพ่อ หรือแม่ของผม” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว
และว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องขาดวุฒิภาวะและจิตสำนึก ขาดความเอื้ออาทรบนท้องถนน ขาดความรับผิดชอบต่อผู้อื่น อยากให้มองว่าหากรถกระบะมีเด็กอยู่ด้วยจะเป็นอย่างไร การขับรถต้องมีสติ และเมื่อเกิดเหตุ ไปอ้าง หรือเรียกนั่น คือนิสัย การโอ้อวดให้พ้นผิด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งโอ้อวด ยิ่งทำเช่นนี้ ยิ่งโดน ตนได้กำชับไปยังกรมทางหลวงพิเศษ ในเรื่องของการจราจร ต้องดำเนินการในคดีอุบัติเหตุ ส่วนคดีอาญา เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษ สภ.ลำลูกกา ซึ่งตนได้เน้นย้ำไปทางคู่บัญชาการภาค 1ให้ทำคดีตรงไปตรงมา ไม่มีการช่วยเด็ดขาด ให้ผู้กระทำผิดได้รับบทเรียน และ โทษทัณฑ์ ที่เป็นกฎเกณฑ์ของสังคม ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย เพื่อให้เกิดสำนึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำ ต้องปรับปรุงอย่างไร สวนใครจะไปลงเล่นการเมืองอย่างไรตนไม่รู้ แต่ใครจะไปลงคะแนนเลือกก็จงมีวิจารณญาณ ว่าควรจะเลือกหรือไม่
เมื่อถามว่า การที่ผู้ก่อเหตุพยายามโอ้อวดว่ารู้จักคนใหญ่คนโต หวังต้องการให้คู่กรณีเกิดความยำเกรงหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องของนิสัยคน ตัวตนคน บางคนอาจจะไปกระทบกระทั่ง แต่เราต้องแยกแยะให้ดี ตนไม่ได้เข้าข้างใคร พ่อเขาจะเป็นอย่างไร ก็แยกแยะไป ลูกชายอีกคนเป็น สส. ก็แยกแยะ ส่วนตัวเด็กที่ก่อเหตุจะด้วยอุปนิสัย เราต้องแยก หากทำผิด ต้องได้รับโทษทัณฑ์
“การไปโอ้อวดแอบอ้าง หวังให้คู่กรณีหรือ เจ้าหน้าที่รัฐเกรงใจ ได้รู้ว่าผมรู้จักคนใหญ่คนโต แต่อย่าลืมว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว และมั่นใจว่าตำรวจยุคใหม่ ไม่ได้สนใจ ว่าคุณจะรู้จัก ผบ.ตร. รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลที่ไปงานบวชของคุณ คำว่าหลานอาต่ายผมฟังแล้วไม่ลื่นหูเท่าไหร่ แค่รู้สึกว่าทำไมทำเช่นนี้ ยืนยันผมมีลูกคนเดียว ย้ำเสมอ ว่าอย่าทำตัวเป็นขยะสังคม” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว
และว่าส่วนข้อกังวลว่าจะมีการวิ่งเต้นเรื่องคดีนั้น ตนย้ำไปแล้ว ให้ทำตรงไปตรงมา ไม่มีการช่วย พบใครช่วยเหลือ ตนก็จะเล่นตำรวจด้วย ใครจะปลูกฝังไม่ดีกันมาอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของต้น เพราะตนไม่ใช่ญาติ คงไม่จำเป็นต้องไปสั่งสอนใคร ก็รับผิดชอบกันเองตามกฎหมาย
ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมแกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีโฆษกพรรคพลังประชารัฐแสดงความกังวลกรณีคดีนายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือพีช ลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือนายกเบี้ยว เนื่องจากปรากฏภาพมีความสนิทสนมกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกัน ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องกฎหมายก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ในกรณีที่กฎหมายมีอยู่ และภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้น วิดีโอ และข้อมูลที่เกิดขึ้นก็คงต้องให้เจ้าหน้าที่ว่าไปตามกฎหมาย และไม่ต้องกังวล เรื่องนี้เราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าในแง่ของสังคมมีความเป็นห่วงในเรื่องการดำเนินคดี เพราะมองว่าเป็นผู้มีอิทธิพล นายภูมิธรรม กล่าวว่า“ผู้มีอิทธิพลสร้างเหตุการณ์ที่มีปัญหาต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง ขอให้ว่าไปตามกระบวนการ จะไปบิดไปเบี้ยวก็อยู่ในสายตาของประชาชน พรรคการเมืองคงไม่ทำอย่างนั้น”
ทางด้านลูกชายของผู้เสียหาย เผยว่าได้มีการพูดคุยกันเล็กน้อยกับพ่อของคู่กรณี บอกว่าถ้าลูกชายของตนผิดก็ว่ากันไปตามผิดและยินดีที่จะเยียวยาชดใช้ให้ซึ่งก็เป็นเพียงแค่คำพูดเท่านั้น ยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี