'กรณ์'ถาม'ศิริกัญญา'เห็นด้วยเร็วไปหน่อยไหมครับ? หลังรัฐบาลจ่อออก พ.ร.บ.กู้เงิน 'ศิริกัญญา'สวนกลับวิกฤตใหญ่ต้องลุย!
วันที่ 22 เมษายน 2568 นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความว่า คุณศิริกัญญาเห็นด้วยเร็วไปหน่อยไหมครับ?
ทุกวันนี้ผมเอาใจช่วยรัฐบาลให้ฝ่าด่านอุปสรรคพิษเศรษฐกิจไปให้ได้ นาทีนี้ผมไม่เลือกข้างใครทั้งสิ้น ดูที่การกระทำอย่างเดียว
แล้วก็สะดุดทันทีเมื่อเห็นรัฐบาลบอกว่าเตรียมออก พรบ. กู้เงิน
งบปี ‘69 เพิ่งเริ่มพิจารณา งบ ‘68 ใช้ไปยังไม่ถึงครึ่งปี แต่รัฐบาลพูดถึงการออก พรบ. กู้เงินอีกแล้ว?
ความจริงคือ รัฐบาลประเมินเศรษฐกิจโตเกินจริงแต่แรก
แล้วเสนอแผนการใช้เงินงบประมาณปัจจุบัน 2568 โดยที่มีการขาดดุลมากจนต้องกู้ชดเชยเต็มเพดานตามกฎหมาย แทบไม่เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้เลย
โดยมีนโยบายแจกเงินที่หลายคนคัดค้านแต่แรก ว่าเป็นการใช้เงินผิดวิธีและผิดเวลา
วันนี้รัฐบาลอ้างถึงผลกระทบนโยบายทรัมป์ ส่งผลให้รัฐบาลอาจต้องใช้เงินเพิ่มเติม ซึ่งคงจะให้เหตุผลอธิบายว่า
1.เพื่อสมทบเงินคงคลังเนื่องจากรายได้ภาษีตํ่ากว่าเป้า หรือ/และ
2.เพื่อจัดงบประมาณเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการ
ซึ่งสิ่งแรกที่รัฐบาลต้องทำก่อนออก พรบ. กู้เงิน ควรจะเป็นการเสนอการปรับลดค่าใช้จ่ายในงบประมาณปีปัจจุบัน เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยน เศรษฐกิจไม่ดี รายได้ตํ่ากว่าเป้า สิ่งแรกที่ควรทำคือลดค่าใช้จ่าย ไม่ใช่กู้เพิ่ม
ความจริงผมจำได้ว่าคุณศิริกัญญาเคยเสนอไว้เองตอนพิจารณางบปี 68 ว่ารัฐบาลควรปรับลดแผนการใช้เงินลง 200,000 ล้านบาท เผื่อว่ารายได้ไม่เข้าเป้า…นั่นคือก่อนปัญหาเรื่อง tariff ของทรัมป์ด้วยซํ้า
คราวนี้ หากลดค่าใช้จ่ายแล้วยังไม่พอ ถามว่าการออก พรบ. เป็นวิธีที่ดีที่สุดหรือไม่?
การออกกฎหมายในรูป พรบ. ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 3-4 เดือน ดังนั้นกฎหมายนี้จะคลอดออกมาใช้งานเวลาใกล้เคียง พรบ. งบประมาณปี 2569
ดังนั้นทำไมไม่บรรจุแผนการใช้เงินใน พรบ. ‘69? ทำไมต้องออก พรบ. มากู้นอกระบบงบประมาณ? คำอธิบายเดียวคือรัฐบาลต้องการใช้เงินเกินเพดานเงินกู้ตาม พรบ. หนี้สาธารณะ
ซึ่งอันนี้ต้องระมัดระวังอย่างมาก คิดดีๆ อย่ายอมกันง่ายๆ
ขณะที่ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้เข้ามาตอบโต้ข้อความดังกล่าว โดยระบุว่า “ถ้าคุณกรณ์จะกรุณาเข้าไปอ่านเนื้อหาในข่าวสักหน่อย ก็คงจะทราบว่าดิฉันเรียกร้องให้รัฐบาลรื้องบปี 69 ก่อนเลยค่ะ เรายอมพิจารณาวาระ 1 ล่าช้าออกไป 1-2 อาทิตย์ ถ้ารัฐบาลจะกลับไปปรับปรุงงบให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป งบปี 68 ใช้มาเกินครึ่งทาง ต่อให้ไม่ทำ Digital Wallet ต่อ ก็คงได้งบกระตุ้นมาเพิ่ม 150,000 ล้านบาท หรือหากจะตัดงบใหม่ตอนนี้ ทำ พ.ร.บ. โอนงบประมาณก็คงได้เพิ่มอีกไม่ถึง 100,000 ล้านบาท
หากจะต้องเตรียมการรองรับสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้น ไม่ควรจบเพียงแค่การเยียวยา แต่ต้องฟื้นฟู และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งต้องงบประมาณเป็นจำนวนมากกว่าแค่ 2-3 แสนล้านแน่นอน ขนาดตอนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่ผลกระทบจำกัดกว่าครั้งนี้ รัฐบาลคุณกรณ์ยังใช้ไปเกือบ 400,000 ล้านบาท ตอนแรกขออนุมัติกรอบไว้ 800,000 ล้านด้วยซ้ำไป ถ้าดิฉันเล่นบทฝ่ายค้านตามปกติ ก็คงต้องค้านหัวชนฝาไปแล้วค่ะ แต่เห็นว่าวิกฤตครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ จึงไม่อยากให้รัฐบาลปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไป และเปิดทางเลือกให้รัฐบาลทำงานให้ได้มากที่สุดค่ะ แล้วค่อยมาถกกันในรายละเอียดว่าแผนการรับมือสมเหตุสมผลหรือไม่”
007
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี