บุกร้องปปช.ส่งศาลรธน.ถอดถอน
ฟันครม.‘เศรษฐา-อิ๊งค์’
ทำผิดรธน.ปรับใช้งบฯปี’68
เงินใช้หนี้มาแจกเงินหมื่น
นายกฯป่วยนอนแอดมิทรพ.
“สมชาย-ชาญชัย-เจษฎ์-ทนายนกเขา” แท็กทีมยื่นป.ป.ช.ส่งศาลรธน.ถอดถอนครม. “เศรษฐา-แพทองธาร” พ่วง สส.-สว.ชุดปัจจุบัน ทำผิดปรับงบ’68 ส่วนเงินกู้ใช้หนี้มาแจกเงินหมื่น พร้อมให้ชดใช้เงินภายใน 20 ปี มั่นใจพยานหลักฐานแน่น ลุ้น30 เม.ย.ศาลฎีกาฯ นัด‘ชาญชัย’ฟังคำสั่ง ร้องศาลให้นำ“ทักษิณ”มารับโทษ นายกฯ’อิ๊งค์’ป่วยไข้ขึ้นสูง ต้อง แอดมิทโรงพยาบาล หลังกลับจากเยือนกัมพูชา ‘ธรรมนัส’ชี้ยังไม่ใช่เวลา ปรับ ครม. ยันกธ.ไม่ขยับ แต่ดัน‘อรรถกร’คัมแบ๊ครมต.แทนพ่อ ‘ชัยวุฒิ’เปรียบรบ.เหมือนเรือใกล้ล่ม ใครคิดจะไปลงเรือก็บ้าแล้ว ยัน พปชร.ไม่เอากาสิโน ไม่คิดร่วมรัฐบาล มอง’ทักษิณ’ไม่กล้าทิ้ง’ภท.’หวั่นถูกยื่นตรวจสอบ คาดปี70 อาจเห็นส้ม-แดงจับมือตั้ง รบ. ปปช.ชี้มูลความผิด’ภูมิ สาระผล’ สมัยนั่ง‘สส.-รมช.พาณิชย์’ร่ำรวยผิดปกติ19,947,750บาท ขอศาลสั่งยึดทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน
เมื่อวันที่ 25เมษายน2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ พร้อม นายสมชาย แสวงการ อดีตสว.และนายเจษฎ์โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา นักเคลื่อนไหว เข้ายื่นหนังสือต่อ ปปช.ถึงการกระทำผิดฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา144 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2568
‘แท็กทีม’ยื่นปปช.ฟันครม.-สส.-สว.
โดย นายชาญชัย กล่าวว่า มายื่นเป็นเรื่องที่พบการกระทำความผิดของคณะรัฐมนตรี (ครม.)และกรรมาธิการงบประมาณของสส.และสว.มีการกระทำความผิดในรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ซึ่งต้องห้ามไม่ให้ไปตัดงบประมาณเกี่ยวกับเรื่องของการให้เงินกู้ที่กฎหมายมีการบังคับเอาไว้ประเด็นแรกซึ่งปรากฏว่าได้ผ่านวาระ1 เข้าไปแล้ว แต่ต่อครม.ได้มีมติตัดงบประมาณ 35,000ล้านบาท ที่มีการให้ไปกู้ตามมาตรา 28 ซึ่งเอามาใช้ในกิจกรรมและต้องชดใช้ดอกเบี้ยพร้อมเงินกู้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้แตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว ประเด็นที่2 กรรมาธิการงบก็รู้ มีการพูดกันอยู่ในการประชุมครั้งที่ 38 มีการถกเถียงกันถึงมาตรา 144 แต่ต่อมาก็ให้ผ่านงบ ซึ่งในรัฐธรรม นูญเขียนไว้ว่า ให้สส.และสว.ถอด ถอนงบประมาณนี้ และยังเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี60 ระบุไว้ว่าแม้แต่ครม.รู้ว่ามีการกระทำแต่ไม่ยับยั้งก็ให้ถอดถอนครม.ทั้งคณะ และยังเป็นครั้งแรกที่ให้อำนาจ ป.ป.ช.ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อถอดถอนครม. สส. และสว. หากเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีมูล อีกทั้งให้เรียกเก็บเงินทั้งหมดที่เอาไปทำเสียหายคืนแก่แผ่นดินภายใน 20 ปี ทั้งหมดนี้จึงมายื่นให้ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการต่อไป
ชงศาลถอดถอนปมใช้งบฯขัดรธน.
ด้านนายเจษฎ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ถ้าปปช.เห็นว่ามีมูล ก็ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ แล้วศาลก็จะเป็นผู้วินิจฉัย ดังนั้นภาระของปปช.ไม่ได้ถึงต้องตัดสินเรื่องนี้ แต่ถ้ามีมูลก็ต้องดำเนินการโดยพลัน ซึ่งการดำเนินการของปปช.คาดว่าไม่เกิน2เดือน ส่วนถ้าส่งศาลรัฐธรรมนูญแล้วศาลมีเวลา15วัน
นายเจษฎ์ กล่าวอีกว่า ความผิดนี้จะครอบคลุมตั้งแต่ครม.ชุดของ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี และการกระทำดังกล่าวยังผลต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แยกเป็น 2ประเด็น 1.การใช้งบประมาณที่ผิด 2.ได้มีโอกาสเข้าไปใช้งบประมาณ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ส่วน สส.ก็จะเป็นสส.ชุดปัจจุบัน รวมถึง สว.ก็เป็นชุดปัจจุบันด้วยเช่นกัน
เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าพยานหลักฐานที่ยื่นไปจะสามารถเอาผิดได้ นายสมชาย กล่าวว่า ข้อมูลนี้เราศึกษากันมา 5-6 เดือน แล้วเรามีรายงานการประชุมของคณะกรรมาธิการต่างๆ มีมติคณะรัฐมนตรียอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ แต่ตนและนายเจษฎ์ ก็เป็นกรรมาธิการใน พรบ.ป.ป.ช.ซึ่งเห็นแล้วว่า การใช้งบประมาณผิดประเภท เป็นเรื่องผิดและเคยตักเตือนมาแล้วว่าขัดรัฐธรรมนูญ จึงมั่นใจว่าจะสามารถเอาผิดได้ แต่ต้องให้ ปปช.เป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย และคิดว่าเรื่องนี้จะช่วยแก้ปัญหาประเทศเพื่อไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้ เพราะตอนนี้กำลังเข้าสู่การพิจารณางบประมาณปี 2569 และการแจกเงินในดิจิตอลวอลเล็ต ก็จะมีขึ้นอีก ทั้งที่ประเทศกำลังจะล้มละลายอยู่แล้ว จึงหวังว่าจะทำให้เรื่องนี้หยุดและทำให้ถูกต้อง ส่วนที่ทำผิดไปแล้วก็ต้องรับผิด ส่วนมองว่าจะเป็นการล้างไพ่หรือไม่ตนเองมองว่า คนทำผิดก็ต้องรับผิดแค่นั้นทั้งนี้ หาก ป.ป.ช.ไม่ยอมส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ จะขอรอดูก่อนว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ลุ้น30เม.ย.ศาลสั่ง’ทักษิณ’มารับโทษ
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันที่ 30 เมษายนนี้เวลา 13.00 น.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวงได้นัดนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ร้อง มาฟังคำสั่งในคำร้องที่ก่อนหน้านี้ นายชาญชัยได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯเมื่อวันที่ 10 มกราคม2568 เพื่อขอให้ศาลฎีกาฯไต่สวนกรณีที่กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก 8 ปี แต่ได้รับการลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี ได้เข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาฯ ซึ่งนายชาญชัยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวอาจขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89, 89/2(1) (2) และมาตรา 246 โดยไม่อาจอ้างกฎกระทรวง เรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 25กันยายน 2563 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 55 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 เพราะขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลตัดสินแล้วที่เหลือเรื่องก.ราชทัณฑ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายชาญชัย เคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯเมื่อวันที่ 19ธันวาคม66และเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567ศาลฎีกาฯมีคำสั่งยกคำร้องทั้ง2เรื่องโดยไม่ไต่สวน ให้เหตุผลว่าเมื่อศาลฎีกาฯออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สิ้นสุดไปแล้ว การบังคับโทษและอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา จึงไม่ต้องไต่สวนคำร้อง ให้ยกคำร้องนายชาญชัยจึงยื่นคำร้องอีกครั้งเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมและขอให้รับคำร้องไว้ไต่สวนและมีคำสั่งบังคับโทษจำคุกให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด โดยศาลฎีกาฯนัดฟังคำสั่งวันที่ 30เม.ย.เวลา13.00น.
แหล่งข่าวนักกฎหมายในกระบวนการยุติธรรมให้ความเห็นว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ ครั้งนี้ก็น่าจะเช่นเดียวกัน เนื่องจากคดีเมื่อศาลตัดสินคดีถึงที่สิ้นสุดแล้วออกหมายจำคุก ตามคำพิพากษาถึงที่สิ้นสุดก็หมดหน้าที่ของศาล เรื่องการบริหารโทษเป็นเรื่องของกรมราชทัณฑ์ที่อยู่ภายใต้ การกำกับดูแลของกระทรวงยุติธรรม ขั้นตอนจะไปผิดหรือทำไม่ชอบในการบริหารโทษก็ต้องไปว่ากันอีกเรื่อง ไปฟ้องดำเนินคดีกันไป ศาลจะไม่เกี่ยวข้องอีก จะเห็นได้จากหลายคดีที่ศาลพิพากษาประหารชีวิต แล้วสุดท้ายได้ประหารจริงหรือไม่ ก็ไม่ได้มีการประหาร เพราะเรื่องการบริหารโทษเป็นของกระทรวงยุติธรรมแล้วแต่คดีนี้เมื่อนายชาญชัยไปยื่นก็ต้องรับวินิจฉัยไว้เท่านั้นเอง เหมือนก่อนหน้านี้ที่ศาลฎีกาฯมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
‘อิ๊งค์’ป่วยไข้ขึ้นสูงแอดมิทรพ.
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า หลังจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เสร็จสิ้นภารกิจการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีภารกิจตลอดทั้งวันพุธและต่อเนื่องจนถึงวันพฤหัสบดี และเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อเวลา 15.30น.ปรากฏว่านายกรัฐมนตรี รู้สึกมีไข้เล็กน้อย จากนั้นเดินทางกลับถึงบ้านพบว่า มีไข้ขึ้นสูงจึงเดินทางไปพบแพทย์เมื่อเวลาประมาณ 21.00น.เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยแพทย์ขอให้ นายกรัฐมนตรีแอดมิทเข้าพักรักษาตัวเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด และวันนี้แพทย์จะตรวจร่างกายในตอนเช้าอีกครั้ง ทั้งนี้ กำหนดการของนายกรัฐมนตรีวันนี้ ณ ทำเนียบรัฐบาลและการให้การต้อนรับผู้ที่เข้ามาพบหารือ ณ ทำเนียบรัฐบาลในส่วนของนายกรัฐมนตรีนั้น ได้ขอเลื่อนไปก่อน แต่ในส่วนอื่น ๆ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินการแทน
นายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีนายกฯโพสต์ภาพลงไอจีสตอรี่เป็นภาพนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีนอนแอดมิดอยู่ที่โรงพยาบาล พร้อมข้อความว่า“ใครเตือนไม่ฟังร่างกายเตือนแล้วไม่ไหว”
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหว น.ส.แพทองธาร ว่า ภายหลังเมื่อคืนวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมามีอาการไข้ขึ้นสูง ต้องนอนแอดมิทเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดนั้น ล่าสุดนายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการคณะคู่สมรสคณะรัฐมนตรี ได้แจ้งยกเลิกภารกิจเปิด “โครงการของขวัญประชาชนของคณะกรรมการคณะคู่สมรสคณะรัฐมนตรี” ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ในช่วงเช้าวันเดียวกันนี้อย่างกระทันหัน โดยมอบหมายให้ นางอภิญญา เวชยชัย คู่สมรสของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ทำหน้าที่ประธานในพิธีแทน
‘จิราพร’ส่งกำลังใจให้หายป่วย
น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักกนายกรัฐมนตรีกล่าวส่งกำลังใจให้กับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่รักษาอาการป่วยอยู่ว่า ขอส่งกำลังใจให้กับน.ส.แพทองธาร เพราะนายกรัฐมนตรีได้ทำงานหนักมาก ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งระยะเวลาไม่ถึงปี แต่เจอวิกฤตปัญหาหลายอย่าง ทั้งเรื่องน้ำท่วม ไฟไหม้รถบัส ทำให้นักเรียนเสียชีวิตจำนวนมาก เหตุการณ์แผ่นดินไหว รวมถึงมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นเรื่องหนักแต่นายกรัฐมนตรีก็รับมือได้เป็นอย่างดี แต่สุดท้ายร่างกายต้องได้รับการพักผ่อน ดังนั้นจึงอยากให้นายกรัฐมนตรีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีกำลังใจที่จะทำงานให้กับประชาชน
ยอมรับว่าเมื่อวันที่ 24 เม.ย. ตนเองได้พบกับนายกรัฐมนตรีหลังจากเดินทางกลับมาจากการเยือนกัมพูชา นายกรัฐมนตรีก็มีอาการอิดโรยบ้าง แต่นายกรัฐมนตรีเป็นคนที่กำลังใจดี มีพลังพร้อมที่จะทำงานตลอดเวลา นานๆจะเห็นนายกรัฐมนตรีมีความเหนื่อยบ้าง
‘ธรรมนัส’ชี้ยังไม่ใช่เวลาปรับ ครม.
ที่ จ.นครศรีธรรมราช ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรมให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับครม.มีสัญญาณอะไรหรือยังว่าขอพูดในฐานะที่เป็นคนใน ไม่มีการกรอกประวัติหรอก พูดกันไปเรื่อย ขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาปรับ ครม.แต่เป็นเวลาแก้ปัญหาให้กับประชาชน เศรษฐกิจก็ยังมีปัญหาเยอะอยู่ เชื่อเรื่องนี้นายกฯตระหนักดี ตลอดจนพรรคร่วมรัฐบาล ขณะนี้ก็คุยกันอยู่ ส่วนกระแสข่าวมาจากพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวที่ต้องการขยับ มองว่าเป็นการปล่อยข่าวเพื่อทำลายกันหรือเป็นเรื่องจริง ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่ขอวิจารณ์พรรคเพื่อไทย แต่ถ้าเกิดเป็นพรรคกล้าธรรม ยืนยันว่าเราไม่มี เราคุยกันตลอดเวลาโดยเฉพาะกับหัวหน้าพรรค ไม่มีชั่วโมงไหนที่แทบไม่คุยกัน ไม่เห็นหน้าก็คุยทางโทรศัพท์
กธ.ไม่ขยับ แต่ดัน‘อรรถกร’แทนพ่อ
เมื่อถามย้ำว่า พรรคกล้าธรรมไม่มีการขยับหรือปรับอะไรใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า จะขยับไปไหนล่ะ ยกเว้น นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา และนายทะเบียนพรรคกล้าธรรม อาจจะขยับพ่อไปพักผ่อนเท่านั้น ส่วนคนอื่นจะขยับไปอยู่ไหนล่ะ และตนคงไม่ทำลูกน้องของตนหรอก
“ยืนยันว่าพรรคกล้าธรรม นอกจากนายอรรถกรและนายอิทธิ ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์ก็จะไม่มีการปรับ ส่วนนายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กําแพงเพชร เลขาธิการพรรคกล้าธรรม ถ้าคุณสมบัติผ่าน ไผ่ก็มีสิทธิ์เป็นรัฐมนตรีของพรรคกล้าธรรม ตรรกกะมีเท่านี่เอง”ร.อ.ธรรมนัสย้ำและยืนยันว่า กระทรวงเดิมยังเป็นโควตาของพรรคกล้าธรรม เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
พปชร.เย้ยรบ.ใกล้ล่มใครลงเรือก็บ้า
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ที่มีกระแสข่าวว่า พปชร.จะไปร่วมรัฐบาลว่า เรื่องนี้พรรคไม่คิดที่จะร่วมรัฐบาลเพราะเรามีจุดยืนที่ชัดเจนไม่เห็นด้วยกับกาสิโน วันนี้รัฐบาลไม่มีความพร้อมในการบริหารประเทศแล้ว เรือใกล้จะล่ม เราเห็นแบบนี้จะไปขึ้นเรือทำไม ขึ้นไปก็บ้าแล้ว ตนมองว่ากาสิโนจะเป็นจุดที่ทำให้รัฐบาลแตกหัก พรรคเพื่อไทยวันนี้ไม่ได้คำนึงถึงผลลบหรือผลบวกกับสังคม แต่คำนึงถึงผลประโยชน์เป็นแสนล้านที่จะได้มา ภาพความขัดแย้งระหว่างพรรคแดงกับพรรคน้ำเงินที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การประกาศไม่เอากาสิโนของนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทยกลางที่ประชุมสภาฯทั้ง ๆ ที่กาสิโนเป็นเรื่องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่มีสถานะเป็นนายใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ถือว่าเป็นเรื่องที่แรงมาก
”การร่วมรัฐบาลหากให้เกียรติกันก็ควรคุยกันภายในให้จบและถ้าผ่านครม.มาแล้วนั่นหมายความว่า ทุกพรรคต้องเห็นตรงกัน วันนี้พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความไม่ไว้ใจกัน จากนี้ไปก็จะมีแต่ความระแรงกัน ฝืนใจในการทำงานร่วมกัน สุดท้ายแล้ว คนเสียประโยชน์ก็คือ ประชาชนเพราะความขัดแย้งของนักการเมือง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นายทักษิณ รู้แล้วว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ใช่มิตรทางการเมือง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปล่อยให้ภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้านได้ เพราะหากปล่อยไปรัฐบาลนับวันถอยหลังได้เลย ซึ่งตนเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้กลัวตัวเลข สส.ที่ปริ่มน้ำ แต่กลัวการยื่นตรวจสอบคุณสมบัติของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากพรรคภูมิใจไทย หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ การเลือกตั้งในปี 70 เป็นไปได้อย่างมากว่า เราจะเห็นพรรคส้มกับพรรคแดงหวนกลับมาจับมือจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง“นายชัยวุฒิ กล่าว
ปปช.ชี้มูลความผิด’ภูมิ สาระผล’
เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 นายภูเทพ ทวีโชติธนากุล รองเลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช.ในฐานะ รองโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช.แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายภูมิ สาระผล เมื่อครั้งดำรง ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วาระปี 2554และตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ มูลค่ารวม 19,947,750 บาท ซึ่งอยู่ในการ ถือครองของนางอรอนงค์ สาระผล คู่สมรส นางสาวภณิดา สาระผล และนายภพพล สาระผล บุตร พร้อมกันนี้ ได้ส่งอัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งยึด ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน โดยมีทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ดังนี้ 1.ทรัพย์สินในชื่อของนางอรอนงค์ สาระผล คู่สมรส คือ เงินนำไปชำระค่ารถยนต์ยี่ห้อVOLKSWAGEN ทะเบียน ฮบ 22 กรุงเทพมหานคร มูลค่า 3,280,000 บาท จากบริษัทพรีเมี่ยม ออโต้ จำกัด จำนวน 1,430,000บาท
สมัยนั่งสส.-รมช.พาณิชย์ร่ำรวยผิดปกติ
2.ทรัพย์สินในชื่อของนางสาวภณิดา สาระผล บุตร ดังนี้2.1 เงินฝากในบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนสรงประภาดอนเมือง ประเภท สะสมทรัพย์ ชื่อบัญชี นางสาวภณิดา สาระผล จำนวน 3 รายการ รวมจำนวน 1,386,750 บาท2.2 เงินฝากในบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนสรงประภา (ดอนเมือง) ประเภทสะสมทรัพย์ ชื่อบัญชี MISS PANIDA SARAPOL จำนวน 490,000 บาท 2.3 เงินฝากในบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาเดอะมอลล์งามวงศ์วาน ประเภทสะสมทรัพย์ ชื่อบัญชี นางสาวภณิดา สาระผล จำนวน 3 รายการ รวมจำนวน 2,261,000 บาท2.4 เงินที่นางสาวภณิดา สาระผล ได้มาจากการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 67350 ตำบลยายชา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 จำนวน 11,000,000 บาท
สำหรับรายการที่ 2.4 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตรวจพบพฤติการณ์การทำธุรกรรมของบุคคลใกล้ชิด ของนายภูมิ สาระผล ที่มิใช่ญาติ โดยนำเงินสดไปซื้อแคชเชียร์เช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อชำระค่าซื้อที่ดินแปลงติดริมแม่น้ำนครชัยศรี โดยมีการระบุราคาตามสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นเงิน 3,500,000 บาท แต่ปรากฏ เส้นทางการเงินว่ามีการนำเงินสดไปซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายผู้ขายที่ดิน จำนวน 2 ฉบับ คือ แคชเชียร์ฉบับที่ 1 จำนวน 3,500,000 บาท และแคชเชียร์เช็คฉบับที่ 2 จำนวน 4,800,000 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 8,300,000 บาท โดยใช้ชื่อนางสาวภณิดา สาระผล เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และต่อมานางสาวภณิดาฯ ได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้บุคคลอื่น ในราคา 11,000,000 บาท
2.5 เงินดาวน์รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ TOYOTA รุ่น PRIUS ทะเบียน ฎช-599 กรุงเทพมหานคร ที่นางสาวภณิดา สาระผล ชำระด้วยเงินสด รวมจำนวน 880,000 บาท 3.ทรัพย์สินในชื่อของนายภพพล สาระผล บุตร ดังนี้3.1 เงินฝากในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัลพลาซ่า ขอนแก่น ประเภท ฝากประจำ ชื่อบัญชี นายภพพล สาระผล จำนวน 500,000บาท 3.2 เงินที่นายภพพล สาระผล นำไปซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 66960 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และโฉนดเลขที่ 170170 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จำนวน 2 แปลง ราคาตามสัญญา 1,000,000 บาท3.3 เงินที่นายภพพล สาระผล นำไปซื้อโฉนดเลขที่ 170171 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จำนวน 1 แปลง ราคาตามสัญญา 1,000,000 บาท
ขอศาลสั่งยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน
สำหรับเงินที่นางอรอนงค์ สาระผล คู่สมรส นำไปชำระค่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7คน ยี่ห้อ VOLKSWAGEN ทะเบียน ฮบ 22 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1,850,000 บาท และเงินที่นำไปชำระค่ารถยนต์ นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ JAGUAR ทะเบียน สม 1148 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1,000,000บาท เป็นทรัพย์สิน ที่ผู้ถูกกล่าวหาแสดงแหล่งที่มาได้ จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป คณะกรรมการ ปปช.พิจารณาแล้วมีมติว่า ผู้ถูกกล่าวหา ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ซึ่งอยู่ในการถือครองของนางอรอนงค์ สาระผล คู่สมรส นางสาวภณิดา สาระผล บุตร และนายภพพล สาระผล บุตร เป็นเงินทั้งสิ้น 19,947,750บาท ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน ตามรายการทรัพย์สินดังกล่าว ตามพรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 118 ต่อไป หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ปปช.มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้วแต่กรณี ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่น ของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพรป.ว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ด้วย ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27มีนาคม2568 สำนักงาน ปปช.ได้ส่งสำนวน การไต่สวนพร้อมเอกสารหลักฐานให้สำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี