ประกาศ‘พปชร.’ไม่ร่วมรัฐบาล
‘บิ๊กป้อม’ทุบโต๊ะ
เช็คเสียงสส.ยังอยู่กันครบ
‘เท้ง’พร้อมจับมือพท.ตั้งรบ.
แต่ตั้งแง่ต้องขอโทษปชช.ก่อน
‘อิ๊งค์’ทัวร์ครม.สัญจรนครพนม
ทุกอย่างเป็นไปได้! เท้ง-หัวหน้าพรรคประชาชน อ้างสถานการณ์เปลี่ยนพร้อมผสมพันธ์ุกับพรรคเพื่อไทย ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ตั้งแง่ให้ขอโทษที่ทำผิดกับประชาชนหลายเรื่อง ด้าน“บิ๊กป้อม” ย้ำนโยบายอนุรักษ์นิยมทันสมัย ขึงขังไม่มีวันไปจูบปากกับเทวดา เดินหน้าพร้อมเลือกต้งเล็งกวาด 60 สส.ทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 27 เมษายน หลังประชุมพรรคประชาชน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคและนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค ร่วมกันแถลงข่าวมติที่ประชุม
โดย นายศรายุทธิ์ เผยว่า ในวาระการประชุม มีการปรับปรุงข้อบังคับพรรคให้การทำงานของพรรคสะดวกมากขึ้น รายงานผลการดำเนินงาน 1 ปี ที่ผ่านมา และเรื่องงบการเงินของพรรค รวมถึงการเตรียมความพร้อมถึงการเลือกตั้งในอนาคต ก่อนการประชุมครั้งนี้ได้มีการจัดสัมมนาระหว่างวันที่ 25 - 26 เมษายนที่ผ่านมา ในหัวข้อการสร้างพรรคมวลชนที่เข้มแข็ง ไปวางเป้าหมายให้มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น เพิ่มการมีส่วนร่วมของสมาชิก และการทำให้กลไกโครงสร้างอำนาจภายในพรรคยึดโยงกับสมาชิกพรรคมากขึ้น รวมถึงเรื่องการเงินของพรรคที่จะต้องการเงินของพรรคมาจากประชาชนเป็นส่วนใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง
เตรียมพร้อมเลือกตั้งในปี70
สำหรับการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือนโยบาย ที่จะต้องสร้างขึ้นให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ในปี 2570 และการเตรียมผู้สมัครซึ่งเรามีกระบวนการให้ผู้ประสงค์จะลงเลือกตั้งสามารถเข้ารับการคัดสรรได้ ซึ่งได้มีการเปิดการอบรมนักการเมืองของพรรคไปแล้วช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา และยังคงเปิดต่อไปจนถึง 13 มิถุนายน เพราะยังมีความต้องการผู้ประสงค์จะลงเลือกตั้ง และทำงานการเมืองร่วมกับเรา ไม่สามารถเข้ามาได้อีกมาก
ด้านนโยบายเองก็เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เรายังขาดนโยบายอีกมากที่จะตอบสนองต่อพี่น้องประชาชนทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ จึงยังต้องการพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ประสงค์จะมีส่วนร่วมจัดทำนโยบายร่วมกับเรา จึงขอเชิญชวนทุกท่านที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง
ตั้งชนะเลือกตั้งอย่างเดียว
ด้านนายณัฐพงษ์ เสริมว่า เรื่องที่เราสื่อสารมาตลอด 3 วันนี้ต่อองค์คาพยพต่างๆ ของพรรค เน้นย้ำว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าหากเรามองโจทย์ของประเทศ คงไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องการชนะการเลือกตั้งอย่างเดียว แต่เราต้องการสร้างรัฐบาลที่ดีที่สุด ตามที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่วันก่อตั้งพรรคประชาชน หากดูจากสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีการทุจริตคอรัปชั่น มีรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ทางออกสำหรับประเทศของพวกเราคือการเสนอรัฐบาลที่ดีที่สุด และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
ในอดีตพรรคอนาคตใหม่เคยเป็นความหวังให้กับประชาชน เราชนะการเลือกตั้ง แต่โจทย์ต่อไปหากมองย้อนกลับมาที่พรรคประชาชนเอง ภายในพรรคเองก็ต้องมีการทำงานกับประชาชนอย่างเข้มข้น รวมถึงเตรียมนำเสนอนโยบายในอนาคต ประกอบด้วย 3 เสา คือการเมือง ปฏิรูประบบราชการ และเศรษฐกิจ ส่วนตัวมองว่าประชาชนเห็นความชัดเจนของพรรคมาโดยตลอด
อาสารับใช้ประชาชน
“สิ่งสุดท้ายที่เชื่อว่าจะเป็นความหวังให้กับประชาชนได้คือนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของพรรคเพื่อไทย แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถสร้างทางออกให้กับประชาชนได้ ดังนั้น ก็พร้อมที่จะเสนอตัวอาสามาทำงานในจุดนี้ และเตรียมสื่อสารนโยบายด้านเศรษฐกิจต่อประชาชนต่อไป” นายณัฐพงษ์ กล่าว
สำหรับข้อสังเกตว่า คะแนนจากการเลือกตั้งของอดีตพรรคก้าวไกลเมื่อการเลือกตั้งคราวที่แล้ว อาจเป็นคะแนนจากกลุ่มประชาชนที่ ‘เบื่อลุง’ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ไม่ว่าจะเป็นคนที่เบื่อลุงหรือคนที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย หรือคนที่อยากเห็นการเมืองโปร่งใสปราศจากการทุจริตคอรัปชัน เชื่อว่าตอนนี้เห็นอยู่แล้วว่ารัฐบาลที่มัดรวมจัดตั้งรัฐบาลด้วยดีลแลกประเทศแบบนี้ ไม่ใช่ทางออก ทางออกของประชาชนทุกกลุ่ม คือนโยบายเศรษฐกิจที่แก้ไขปัญหาปากท้อง ปราศจากการทุจริตคอรัปชัน เชื่อว่าประชาชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนในอดีต ล้วนต้องการนโยบายแบบนี้ ซึ่งทุกอย่างพรรคประชาชนพร้อมผลักดันและเสนอเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดให้กับประชาชน
เชื่อประชาชนมีความหวัง
ส่วนการประเมินว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจมีคนที่ลงคะแนนงดออกเสียงมากขึ้น นายณัฐพงษ์ระบุว่า หากสื่อสารทางความคิดรณรงค์กับประชาชนได้ดีเพียงพอ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าในทุกนโยบายที่ได้บอกไป เชื่อว่าประชาชนก็ยังมีความหวังอยู่ สามารถเชื่อมั่นฝากความหวังไว้กับพวกเราได้จากการทำหน้าที่ สส. และตัวแทนของพรรค
ขณะที่บางกลุ่มคาดหมายว่าในการเลือกตั้งรอบหน้าพรรคสีแดงก็จะมาจับมือกับพรรคสีส้ม นายณัฐพงษ์ย้ำว่า ได้พูดไว้ชัดเจนแล้วว่า การจัดตั้งรัฐบาลแบบที่เป็นอยู่ พรรคประชาชนไม่สามารถเข้าร่วมได้ เพราะไม่ได้นำประชาชนมาเป็นศูนย์กลางในสมการการตัดสินใจ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย ทั้งนโยบายเรื่องปฏิรูปกองทัพ ทลายทุนผูกขาด และอีกหลายเรื่อง ตราบใดที่ประชาชนถูกถอดออกจากสมการการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ ปัญหาเชิงโครงสร้างทุกเรื่องก็ไม่สามารถแก้ไขได้
แบะท่าผสมพันธ์เพื่อไทย
สื่อมวลชนถามย้ำว่าในการเลือกตั้งรอบหน้าจะไม่รวมกับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ ตอบว่า สิ่งที่เราสื่อสารมาโดยตลอด ว่าถ้าพรรคเพื่อไทยจะสามารถรวมกับพวกเราได้ ก็อาจจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่าง“ยกตัวอย่างว่า อาจจะต้องมีการสื่อสารว่าการกระทำที่ผ่านมา เขาทำผิดต่อประชาชนจริงๆ และมีการสื่อสารเรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่อยากให้มองว่าเงื่อนไขการจับกับไม่จับมือกับพรรคใด เป็นเงื่อนไขที่พรรคประชาชนตั้งขึ้นมาเองแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น จริงๆ พรรคอื่นๆ ฝั่งอื่นๆ ก็ตั้งเงื่อนไขกับเราเช่นเดียวกัน”
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น สิ่งที่พรรคประชาชนให้ความสำคัญในตอนนี้ ก็คือการทำงานทางความคิด หาทางออกให้กับประชาชนเป็นหลัก สุดท้ายจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้งในอนาคต ส่วนผลออกมาเป็นอย่างไรจะจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่อย่างไร ยืนยันว่าจุดยืนของพรรคประชาชนคือ เราเสนอกับพี่น้องประชาชนว่าอย่างไรก่อนเลือกตั้ง หลังเลือกตั้งเราก็จะยืนยันแบบเดิม ไม่กลับไปกลับมา ว่าหาเสียงไว้แบบหนึ่งทำแบบหนึ่งแน่นอน
ยังไม่ได้ปิดประตูตาย
สื่อมวลชนถามย้ำอีกว่า หมายถึงพรรคประชาชนไม่ได้ปิดประตูตายในการจับมือกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ใช่หรือไม่ หากต่างฝ่ายต่างมีเงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน นายณัฐพงษ์ ตอบว่า เป้าหมายที่เราต้องการไม่ใช่แค่ชนะการเลือกตั้ง แต่คือหาทางออกให้กับประเทศ หากวันนี้ตนเองในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนสื่อสารไปแล้วว่า มีเงื่อนไขใดที่ทำให้จัดตั้งรัฐบาลกับพรรคใดไม่ได้ ซึ่งสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงตลอด อย่างเรื่องของกำแพงภาษีสหรัฐอเมริกาก็เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
“เมื่อถึงเวลาที่เงื่อนไขของโลกเปลี่ยน แต่เงื่อนไขที่ผมตั้งไว้ล่วงหน้า อาจจะยังถูกตั้งคำถามได้ในอนาคต อาจจะกลายเป็นว่าอาจเป็นการปิดประตูให้กับประเทศหรือเปล่า ดังนั้น สิ่งที่เราสื่อสารมาตลอดว่า เราต้องการหาทางออกให้กับประเทศ เงื่อนไขในการจับหรือไม่จับมือกับพรรคใด ควรจะต้องไปหารือในช่วงใกล้ๆ การเลือกตั้ง แล้วก็อาจจะไม่ยุติธรรมที่จะมาถามพรรคประชาชนฝ่ายเดียว จริงๆ คนที่ตั้งเงื่อนไขกับพวกเราก็อาจจะเป็นพรรคอื่นๆ ด้วย จึงอยากให้ตั้งคำถามกับพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน”
พร้อมตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
ส่วนจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ในสมัยหน้าหรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ความไว้วางใจของประชาชน ซึ่งสะท้อนผ่านการทำงานของพวกเราด้วย วันนี้ในการประชุมใหญ่เราได้มีการพูดคุยกันหลายเรื่อง ทั้งการปรับข้อบังคับพรรค การควบคุมวินัย ทำอย่างไรให้ประชาชนเห็นว่าสามารถฝากผีฝากไข้ ฝากความมั่นใจกับตัวแทนของพรรคประชาชนได้ เรามีข้อเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจที่สามารถแก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องประชาชน เชื่อว่าถ้าเราทำงานอย่างดีเพียงพอแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาในพรรค จะสะท้อนถึงคะแนนที่จะได้รับในอนาคต และหากคะแนนถึงในการเลือกตั้งเราก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
ย้ำชัด’ปชน.’ไม่มีงูเห่าแน่นอน
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ระบุจะมีการเปิดเผยรายชื่อ ส.ส.ฝ่ายค้านที่จะย้ายเข้าพรรค ในส่วนของพรรคประชาชนมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ว่า จริงๆ ไม่ต้องเตรียมตัวอะไร ตนเชื่อมั่นว่าไม่ได้เป็นงูเห่าจากพรรคประชาชนแน่นอน แต่จะเป็นใครบ้างตนตอบแทน ร.อ.ธรรมนัสไม่ได้ ต้องไปถาม ร.อ.ธรรมนัสเอง ยืนยันและเชื่อมั่นในเพื่อนภายในพรรคทุกคน เห็นได้จากในหลายๆ ครั้ง ตั้งแต่พรรคก้าวไกลมาเป็นพรรคประชาชนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีงูเห่าใดๆ ทั้งสิ้นจากพรรคประชาชน เพราะฉะนั้น ในครั้งนี้ก็เชื่อมั่นว่าไม่มีจากพรรคประชาชนแน่นอน เมื่อถามว่า จะเป็นการทำลายเสถียรภาพของพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า พรรคประชาชนมองเห็นและให้ความสำคัญกับการกระทำ และที่ผ่านมาพรรคประชาชนก็ไม่เคยมีกรณีในเรื่องนี้ เมื่อยิ่งมีการพูดในเรื่องนี้แต่พรรคประชาชนไม่เคยกระทำแบบนั้นเลยจึงคิดว่าในอีกมุมหนึ่ง คนที่ออกมาพูดบ่อยๆ จะเสียเครดิตของตัวเอง
อย่าให้นำหนักคำพูดแม้ว
ส่วนสัญญาณการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลัง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุไม่ปรับพรรคภูมิใจไทยออก ประเมินแนวโน้มหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ว่า อำนาจในการปรับ ครม.เป็นของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตนเองไม่อยากให้สังคมให้น้ำหนักกับคำพูดของนายทักษิณ ซึ่งไม่ได้มีอำนาจตัวจริงในการปรับ ครม.ขณะเดียวกัน ประเด็นในพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งเห็นกันอยู่ว่ามีรอยร้าว ก็เป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ และอาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน
ดังนั้น ความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีที่ต้องควบคุมเสียงภายในพรรคร่วมรัฐบาล และแสดงออกให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการเจรจากับต่างประเทศ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าได้
บิ๊กป้อมนำประชุมพปชร.
วันเดียวกันพรรคพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีครังที่ 1/2568
ทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพปชร. กล่าวเปิดประชุมว่า พรรคพลังประชารัฐขอประกาศจุดยืนทางการเมืองในการเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมทันสมัยที่มีเจตจำนงอันแน่วแน่ที่จะยึดมั่นและปกป้องสถาบันชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ อนุรักษ์และสืบสาน วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี และ ค่านิยมอันดีงามของชาติ โดยขอขอบคุณสมาชิกพรรคทุกคนที่เดินทางมาร่วมประชุมใหญ่ของพรรคในวันนี้
จากนั้นที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองที่ได้ดำเนินในรอบปี 2567 รวมถึงให้ความเห็นชอบงบการเงินของพรรคการเมืองประจำปี 2567 นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบตราสัญลักษณ์พรรคและความหมายของพรรคพลังประชารัฐตราใหม่ มีลักษณะดังนี้ คำว่า “พรรค” อยู่บนกึ่งกลางด้านในของเครื่องหมายพรรคการเมือง เหนือตัวอักษรคำว่า”พลังประชารัฐ”โดยมี คำว่า “พลัง” เป็นสีเขียว คำว่า “ประชา” เป็นสีน้ำเงิน คำว่า “รัฐ” เป็นสีแดง อยู่ภายในวงล้อพลวัต ที่มี 3 แถบสี เป็นสีแดง สีน้ำเงิน สีเขียว บนพื้นสีขาว ที่ประชุมได้เลือกกรรมการบริหารพรรคเพิ่มเติมตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค 2 ตำแหน่ง ได้แก่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล และนายสุรเดช ยะสวัสดิ์ ด้วยคะแนน 339 ทั้ง 2 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมการบริหารชุดใหม่ได้มีการปรับเปลี่ยนจากชุดเดิมหนึ่งตำแหน่งโดยมีการปลด น.ส.กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ ออกจะกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากปรากฏภาพว่าไปร่วมกิจกรรมกับพรรคกล้าธรรม แล้วแต่งตั้ง นายธีระชัยและนายสุรเดช เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคเพิ่มเติม
ไม่มีวันจูบปากพรรคเพื่อไทย
พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม (กธ.) ระบุจะมี สส.จากฝ่ายค้าน ไปร่วมกับพรรค กธ.เพิ่ม ได้มีการเช็คเสียงในพรรค พปชร. ว่าจะมีคนย้ายไปหรือไม่ ว่า “ไม่มีหรอก จะมีที่ไหนเล่า”เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันว่า ทุกคนยังอยู่กับ พล.อ.ประวิตร ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็เนี่ยเขามาประชุมทุกคน” ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) จะดึงพรรค พปชร. ไปร่วมรัฐบาล พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร. ได้กล่าวเสริมขึ้นมาว่า ไม่มีหรอก เมื่อถามย้ำว่า ยังหวังกลับไปร่วมรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวเสียงดังว่า “ไม่ร่วม” จากนั้นได้ขึ้นรถยนต์กลับจากพรรค พปชร.ออกไป
นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดที่ จ.เชียงใหม่ว่าจะไม่ดึงพรรค พปชร.กลับมาร่วมรัฐบาลว่า “ดึงไม่ได้ก็เลยพูดแก้เกี้ยว”
พปชร.พร้อมเลือกตั้ง
นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวว่า ตนได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ โดยรับมอบหมายจาก พล.อ.ประวิตร ให้มาทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยาแพร่ แม่ฮ่องสอน น่าน ทั้งหมด 34 เขต ส.ส.34 คน ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ต่อเนื่องในการเผยแพร่นโยบายของพรรค โดยเฉพาะในส่วนของการปกป้องสถาบันที่ถือว่า เป็นเรื่องสำคัญที่สุดรองลงมาก็คือ เราจะต้องทำให้เกิดเศรษฐกิจทันสมัยไม่ใช่ว่าเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม และจะต้องทำงานแบบหัวโบราณ แต่เราร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่เราก็พร้อมที่จะทำงานร่วมกันได้
“เราจะใช้ความจริงใจในการพบปะกับชาวบ้านว่า พรรคพลังประชารัฐมีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาปากท้องให้กับประชาชน และอยากจะรณรงค์ให้คนทั้งประเทศรักสถาบันให้มากๆ โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ ไม่อยากให้เกิดความสับสนในเรื่องนี้ เพราะเราจะอยู่ได้ก็ต้องมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” นายสุรเดช กล่าว
ตั้งเป้ากวาด60สส.
นายสุรเดช กล่าวต่อว่า นโยบายของพลังประชารัฐเรื่องการคัดค้านเปิดกาสิโนนั้น เท่าที่ตนได้พูดคุยกับหัวหน้าชุมชนหลายๆ คน พวกเขาก็เห็นด้วยว่า ไม่ต้องการให้มีกาาสิโนเกิดขึ้น รวมไปถึงปัญหาเรื่องยาเสพติดที่จะต้องแก้ไขให้เป็นรูปธรรม โดยเราเชื่อว่า จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนภาคเหนือพอสมควร ซึ่งตนขอยึดจำนวน ส.ส.ที่ พล.อ.ประวิตร เคยเป้าเอาไว้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าและเคยให้สัมภาษณ์สื่อว่า จำนวน 60 ที่นั่ง โดยตนก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า จังหวัดพะเยาจะแข่งกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรมอย่างไร นายสุรเดช กล่าวว่า หากจะใช้คำว่าแข่งกันมันก็ไม่เชิง แต่อยากให้มาช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองมากกว่า เพราะ ร.อ.ธรรมนัส ก็เคยอยู่พรรคพลังประชารัฐ และหากมีจิตใจที่รักสถาบันเช่นกันก็มาร่วมมือกันส่วนเรื่องการแข่งขันก็เป็นเรื่องนโยบายของแต่ละพรรค
ยังไม่มีสัญญาณปรับครม.
นายวรชัย เหมะ อดีต สส.สมุทรปราการ ในฐานะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.ว่า เชื่อมั่นว่า ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเรื่องปรับ ครม.เพราะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้เกี่ยวข้องแทบจะทุกฝ่ายได้ออกมาปฏิเสธเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่อาจจะมีการวิเคราะห์ของสื่อมวลชนถึงจังหวะเวลาที่อาจะมีการปรับ ครม. ในอนาคตอยู่บ้าง จึงทำให้เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันต่อเนื่องมา แต่หากสังเกตจะเห็นได้ว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทุกคน รวมไปถึง สส.พรรคเพื่อไทย ได้เดินหน้าทำงานแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้มีการประสานงานและวางแผนงานร่วมกับกระทรวงต่างๆ ที่ดูแลโดยพรรคร่วมรัฐบาลอื่น มาโดยตลอด อีกทั้งการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนในปัจจุบันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถทำให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาไม่กี่วัน เพราะปัญหาประเทศถูกซ่อนเอาไว้หลายปีที่ประเทศอยู่ภายใต้อำนาจของคณะรัฐประหาร เ
เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเข้ามารับหน้าที่บริหารประเทศ โดยเฉพาะรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ เรามุ่งหมายที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชนประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องทำงานร่วมกันของทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง การประเมินว่าเมื่อถึงเวลาเท่านั้นเท่านี้จะต้องมีการปรับ ครม. เหมือนที่เคยทำมากันในอดีตนั้นคงจะไม่ใช่เสมอไป
อิ๊งค์เตรียมลุยนครพนม
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ในวันอังคารที่ 29 เมษายน ที่จังหวัดนครพนม ซึ่งนายกรัฐมนตรี มีดำริให้รัฐมนตรี ทุกกระทรวง ลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามงานในทุกมิติ ในพื้นที่กลุ่มจังหวัด ภาคอีสานในวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน และวันจันทร์ที่ 28 เมษายน ก่อนการเข้าร่วมประชุม คณะรัฐมนตรีสัญจรอย่างเป็นทางการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี