เรื่องราวความเลวร้ายจากการบริหารราชการแผ่นดินในยุคสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยยังคงไม่จบสิ้น หลายท่านทราบดีอยู่แล้วว่า มีเรื่องอะไรบ้าง ถ้าให้ไล่ย้อนไปนึกเอาง่ายๆ ก็คือ ตอนที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ชินวัตร น้องสาว ได้ทำการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่รวมถึงคดีความของพี่ชายนั้น ก็มีคนรวบรวมคดีเอาไว้กว่า 10 คดีซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมไปถึงคดี “ซุกหุ้น” นี้อีกด้วย
ผลของคดีซุกหุ้นที่ทำให้แผ่นดินเสียหาย ทักษิณโดนยึดทรัพย์ไปเรียบร้อยแล้ว 46,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2550 แต่ผลพวงของมันยังคงลากยาวมาถึงทุกวันนี้เมื่อข้าราชการประจำในสมัยที่มีเรื่องตอนนั้นต้องมารับผลกรรมโดนคุกแทน
เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2559 สำนักข่าวอิศรา รายงานเรื่องนี้ได้ละเอียดที่สุดเอาไว้ครับว่า
ศาลอาญา ได้พิพากษาจำคุกนางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร พร้อมอดีตข้าราชการ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร,น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมานณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ เป็นจำเลยที่ 1-5
ความผิดของข้าราชการเหล่านี้คือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการด้วยการไปช่วยเหลือให้ลูกของทักษิณ ไม่ได้ต้องจ่ายภาษีโอนหุ้นที่ช่วยซุกกับพ่อเอาไว้ในตอนนั้น
...ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ช่วยนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทาคุณากรวงศ์ บุตรนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เลี่ยงภาษีโอนหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด
โดยคดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ยื่นฟ้องเมื่อปี 2558 ระบุพฤติการณ์ของจำเลยสรุปได้ว่า จำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย แต่จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้คดี
ศาลพิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ โดยมีจำเลยที่ 5 เป็นผู้สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือไม่ เห็นว่าคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร เคยมีความเห็นเกี่ยวกับรายได้และส่วนต่างการโอนขายหุ้นให้กับบุคคลธรรมดา เข้าลักษณะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ ซึ่งต้องนำเงินนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ซึ่งกรณีของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ได้ประโยชน์จากส่วนต่างของการขายหุ้นละ 1 บาท จึงต้องเป็นรายได้ที่นำมาคำนวณเพื่อเสียภาษี โดยผลจากการกระทำของจำเลยที่ 1-4
ในการตอบข้อหารือที่ขัดไปก่อให้เกิดความเสียหายต่อกรมสรรพากร ซึ่งความผิดสำเร็จตั้งแต่การตอบข้อหารือ โดยจำเลยที่ 5 ซึ่งหารือมายังสำนักกฎหมาย แล้วนำคำหารือไปใช้ประโยชน์ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนด้วย
ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 (นางเบญจา) ถึง 4 มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3ปี
ส่วนจำเลยที่ 5 (น.ส.ปราณี คนใกล้ชิดเลขานุการคุณหญิงพจมาน) มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 จึงให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี
เราย้อนเรื่องราวกลับไปดูกันสักหน่อยครับจากเนื้อข่าวเก่าจาก ThaiPublica เมื่อปี 2555 อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในเรื่องนี้ ว่า เฮ้ย! ทำไมสรรพากรไม่ไล่เก็บเงินส่วนที่ควรจะเอาเข้าประเทศคืนมาล่ะ !?
ปิดตำนานซุกหุ้นชินคอร์ป สรรพากรยุติบี้ภาษีครอบครัว “ทักษิณ ชินวัตร ”– “แก้วสรร” คาใจต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ( http://thaipublica.org/2012/02/legend-thaksin-has-buried-stock/)
คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทำหน้าที่ตรวจสอบโครงการต่างๆ ที่ทำไว้ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หลายเรื่องถูกดำเนินการไปเรียบร้อยอาทิ โครงการจัดซื้อที่ดินรัชดา, จัดซื้อกล้ายาง, รถดับเพลิง, หวยบนดิน ยกเว้นคดีหลบเลี่ยงภาษีจากการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งเปรียบเสมือนหนามที่แทงกลางดวงใจ พ.ต.ท.ทักษิณ
นอกจากจะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังถูกกรมสรรพากรตามไปอายัดทรัพย์สินของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทาชินวัตร (โอ๊ค-เอม) อีก 12,000 ล้านบาทซึ่งทั้งคู่ได้นำคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไปต่อสู่ในศาลภาษีอากรกลางจนชนะคดี เพราะบุคคลทั้งสองไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริง ทำให้กรมสรรพากรต้องถอนอายัดทรัพย์สินคืนให้กับโอ๊ค-เอม
ถึงแม้ทั้ง 2 ศาลตัดสินแล้วว่า หุ้นชินคอร์ปฯ ไม่ใช่หุ้นของโอ๊ค-เอม แล้วหุ้นชินคอร์ปฯ เป็นของใคร พ.ต.ท.ทักษิณหรือบริษัทแอมเพิลริช ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของ ก็ยังเป็นประเด็นที่จะต้องมีการตีความกัน ทำให้กรมสรรพากรต้องนำประเด็นนี้มาขอความเห็นจากคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
แต่... นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร คนดังที่โดนคดีโกง VAT ในช่วงต้นปีที่ผ่านมากล่าวไว้ในกรณีนี้ว่า
“เรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ต่อจากนี้ไป กรมสรรพากรจะไม่มีการประเมินภาษีคนในตระกูลชินวิตรอีก เนื่องจากผลการตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งคณะกรรมการฯ ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ยืนตามคำพิพากษาของศาลทั้ง 2 ศาล ส่วนเรื่องการประเมินภาษีพ.ต.ท.ทักษิณ คณะกรรมการฯ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรเป็นผู้วินิจฉัย เมื่อสรรพากรพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน เพราะกรมสรรพากรทำตามผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ”
พออธิบดีสรรพากรคนดังกล่าวมาแบบนี้ อาจารย์แก้วสรร ในฐานะคนตรวจสอบมาก่อนก็ให้สัมภาษณ์เอาไว้ต่อว่า...
“กรมสรรพากรยอมรับหรือไม่หุ้นชินคอร์ปฯ นั้นเป็นของบริษัทแอมเพิลริช และ พ.ต.ท.ทักษิณคือเจ้าของบริษัทแอมเพิลริช ศาลทั้ง 2 ศาลตัดสินว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทาชินวัตร ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริงดังนั้นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริงก็คือบริษัทแอมเพิลริช ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของ เมื่อแอมเพิลริชนำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประกาศกระทรวง ฉบับที่ 126เพราะถือว่าเป็นการซื้อ-ขายหุ้นระหว่างบริษัทกับบริษัท ดังนั้น กรมสรรพากรจึงมีหน้าที่ที่จะต้องไปไล่เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล 30% หรือเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากับทักษิณที่ได้หุ้นจากบริษัทแอมเพิลริชไปในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด”
พอเรื่องเป็นเช่นนี้ก็ย้อนกลับไปที่ต้นบทความนั่นแหละครับว่า ใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีหน้าที่ต้องไล่เก็บภาษีจากการซุกหุ้นชุดนี้แล้วไม่ทำ ก็เลยโดนข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่จนชาติเสียหาย
ส่วนต่อคำถามที่ว่า อ้าว! แล้วทำไมข้าราชการโดน แต่โอ๊คเอมไม่โดน ก็เพราะว่า มาตราที่ผิดอาญาที่เขาฟ้องกันมันคือ157 ที่ฟ้อง ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ราชการครับส่วนของโอ๊คเอมนั้น โดนรวมไปในการยึดทรัพย์ 46,000 ล้านของทักษิณแล้ว
กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ข้าราชการประจำได้ดีครับ สมัยไทยรักไทย ข้าราชการซวยเพราะช่วยนายเรื่อง "ซุกหุ้น" ส่วนสมัยเพื่อไทย ข้าราชการหลายคนก็กำลังซวยเพราะช่วยนายเรื่อง "จำนำข้าว"
เอวัง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี