ประเทศไทยอยู่ในเขตมรสุม มีปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับต้นๆ ของโลก เรียกว่าเป็นประเทศชุ่มฝน ส่งผลให้มีความเหมาะสมทางการเกษตร จนเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ หรือครัวของโลก นอกจากนั้น ยังเป็นที่เลื่องลือเป็นจุดขายและจุดดึงดูดของการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักที่เพิ่มพูนรายได้และความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
นอกจากจะชุ่มฝนแล้ว ไทยเรายังมีชื่อเสียงด้านความชุ่มโชกไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นในรูปแบบต่างๆทั้งยักยอก ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไปจนถึงการจัดทำโครงการเพื่อขโมยเงินหลวง ชนิดซับซ้อนซ่อนเงื่อน ไปจนถึงการโกงแบบหน้าด้านๆ ก็มีทุกรูปแบบ เรียกได้ว่าชีวิตประจำวันของคนไทย ก็ยังต้องเผชิญกับการรีดไถต่างๆ แม้แต่การไปติดต่อขอบริการจากหน่วยงานภาครัฐก็ยังสุ่มเสี่ยง
โดยที่ผ่านๆ มาก็มักจะโยนความผิดเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นไปให้กับพวกการเมืองว่าเป็นต้นเหตุ เป็นต้นตอเป็นพวกโกงชาติอันมหันต์ เป็นพวกที่แสนจะเลวร้าย ซึ่งก็ถูกใช้เป็นสาเหตุหลักของคณะปฏิวัติรัฐประหารต่างๆ ใช้ในการก่อการยึดอำนาจมาโดยตลอด
และครั้งล่าสุด คสช.ได้ประกาศตัวเข้ามากอบกู้วิกฤติประเทศชาติ โดยกวาดนักการเมืองทั้งหลายลงจากเวที และประทับตราไว้ที่หน้าผากอีกด้วยว่าเป็นต้นตอแห่งความขัดแย้งของสังคม มีนิสัยชอบฉ้อราษฎร์บังหลวง ประชาชนฟังแล้วก็อุ่นใจว่า ตัวการทุจริตได้ถูกตะเพิดออกไปจากอำนาจบริหารแล้ว จึงมีความหวังว่า ประเทศชาติจะได้เดินหน้ากันอย่างก้าวกระโดดเสียที
แต่เอาเข้าจริงแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป เหตุใดข่าวคราวการทุจริตคอร์รัปชั่นซึ่งสังคมมองว่าเป็นการทำนาบนหลังคนซ้ำเติมความยากลำบากประชาชนผู้ด้อยโอกาส กลับไม่หายไปหนำซ้ำยังแพร่กระจายใหญ่โตไปทั่วประเทศ ชนิดที่ข้าราชการระดับปลัดกระทรวงยังเป็นผู้ร่วมขบวนการ โดยมีข้าราชการใต้สังกัดคอยเป็นมือเป็นเท้าให้
สังคมไทยวันนี้พูดในภาพรวมแล้ว นักการเมืองได้หายไปจากวงจรการบริหารสิ้นเชิง ในขณะที่เมืองไทยยังเต็มไปด้วยการหากินกับเงินหลวง มีภาพสะท้อนของผู้กำกับอำนาจรัฐ และใกล้ชิดเงินหลวง ต่างกำลังร่วมมือกันแสวงหาประโยชน์เข้าตน ชนิดไม่ว่าจะแตะ จะจี้ไปตรงไหนก็มีแต่การโกงกินกันทั้งสิ้น โกงแบบไม่กลัวบุญ-บาป ไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง ขอให้ได้โกยๆ ไว้ก่อน ถูกจับก็ไม่เป็นไร เพราะคดีความใช้เวลายาวนาน โดยปลอบใจตนเองว่าระหว่างนี้ครอบครัวก็อยู่สบาย เพราะมีเงินที่โกงมาไว้ใช้ได้อย่างร่าเริง เสมือนยอมเสียสละเพื่อให้ครอบครัวสบาย โดยแกล้งลืมๆ ไปว่า การฉ้อเงินหลวงมาให้ครอบครัวนั้น เป็นการขโมยความสุขสบายครอบครัวอื่นๆ และฉุดรั้งความก้าวหน้าของประเทศ
สังคมไทยวันนี้ จึงเห็นว่าการทุจริตมิชอบดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปแล้ว นอกจากนั้น การทุจริตมักจะกระทำโดยผู้มีการศึกษาและผู้มีโอกาสสูงกว่าผู้คนส่วนใหญ่ ซึ่งแปลว่า ระดับการศึกษานั้นไม่ได้ช่วยพยุงจิตใจ หรือศีลธรรมอันดีเลย ซึ่งสังคมเราคิดแต่จะสร้างคนที่เก่ง โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังจิตสำนึกและความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ที่มนุษย์ปกติพึงมีกันอย่างเพียงพอ ผลที่ตามมาก็คือการมุ่งหาความสำเร็จในชีวิตอย่างเดียว ส่วนจะผิดถูกอย่างไรก็ไม่ยี่หระ
กระทรวงศึกษาฯท่านก็ว่า ได้มีการปลูกฝังศีลธรรม ผ่านวิชาความรู้ต่างๆ ให้แก่เยาวชนมาตลอด ซึ่งถ้ามันเป็นวิธีที่ถูกต้อง ก็คงต้องบอกว่า น่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่คนไทยต่างรู้ดีรู้ชั่วกันแล้ว ทำไมจึงยังมักได้ ด้านได้อายอดกันจำนวนไม่น้อย ซึ่งในขณะเดียวกัน ทำไมคนดีๆ จึงไม่ออกมาช่วยกำกับคนเลว และปกป้องสิ่งของส่วนรวม ธุระส่วนรวมเป็นธุระของทุกคน มิใช่จะอ้างกันว่าธุระไม่ใช่
ที่เป็นกันอย่างนี้เพราะเราคนไทยสอบตกด้านศีลธรรมกันแล้วหรือ สังคมจึงเต็มไปด้วยการขโมยกันต่างๆ นานา
เมื่อรู้กันอย่างนี้แล้ว เราจะยอมรับสภาพนี้กันต่อไปเรื่อยๆ หรือจะคิดอ่านแก้ไขกันแต่ตอนนี้ จะมีวิธีการใดๆที่จะทำให้พวกเราก้าวออกจากการเป็นสังคมที่สอบตกด้านศีลธรรมกันได้บ้าง
หากถามว่าเราจะเริ่มกันตรงไหน ก็ไม่ต้องไปไกล ลองเริ่มต้นที่ศีลข้อ 2 อทินนาทานา เวรมณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิ (ห้ามลักทรัพย์ หรือไม่เอาของๆ คนอื่น)เอาศีลข้อนี้ขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ และรณรงค์ขับเคลื่อนกันอย่างกว้างขวางต่อเนื่องจริงจังกันเสียที
ในขณะเดียวกัน บุคคลสาธารณะในสังคมโดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบอร์หนึ่ง หรือผู้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดต่างๆ ทุกองค์กร ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ก็ต้องกระทำตนเป็นตัวอย่างและกวดขันเข้มงวด กับความเป็นไปในองค์กรของตน เพื่อมิให้การ “ขโมย” ใดๆ ได้เกิดขึ้น
คู่ขนานกัน เงินทุกบาททุกสตางค์ที่มาจากภาษีประชาชนไทย จะต้องมีการให้รู้ที่มาที่ไปอย่างกว้างขวาง ก็แน่นอนประชาชนอาจเข้าถึงข้อมูลภาครัฐที่ภาครัฐจัดหาไว้ให้ แต่ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ต้องออกไปชี้แจงเผยแพร่ เป็นการทำงานแบบรุก (Pro-Active) แทนการนั่งรอคำถาม หรือรอให้เปิดข้อมูลทางระบบอินเตอร์เนตเข้ามา
แล้วแวดวงศาสนา และการศึกษา ไปจนถึงผู้นำจิตวิญญาณในสังคม ก็ต้องออกมาแสดงธรรมเทศนา ให้เห็นผลดีผลเสียของการละเว้นจากการ “ขโมย” ผู้คนต้องรู้และตระหนักว่า การทำความดีนั้นเป็นความสุขที่จับต้องได้ เพราะหน้าตาและจิตใจแจ่มใส และสังคมโดยรวมไปโลด
รัฐบาลทหาร ได้ประกาศต่อสาธารณชนว่าได้ขับไล่นักการเมืองที่ท่านอ้างว่าเป็นต้นตอแห่งความชั่วร้าย เป็นตัวคอร์รัปชั่นออกไปจากสังคมไทยแล้ว ดังนั้น สังคมไทยภายใต้การนำพาของรัฐบาลทหาร ก็ควรจะปราศจากการคอร์รัปชั่น หรืออย่างน้อยก็ควรลดน้อยลงอย่างมากอย่างเห็นได้ชัด แต่ในความเป็นจริงของช่วง 4 ปีที่ผ่านมา การทุจริตคอร์รัปชั่นก็ยังดาษดื่นอยู่ และเกี่ยวข้องกับแวดวงราชการเป็นการเฉพาะ สะท้อนว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นมิได้จำกัดที่วงการการเมือง แต่โยงใยกับฝ่ายข้าราชการมาโดยตลอด และเมื่อไม่มีฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการก็เลยโกงกินกันเสียเอง ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลทหารยิงผิดเป้ามาตลอด ฉะนั้น ก็ต้องตั้งเป้าเสียใหม่ แล้วเอาจริงเอาจังให้เห็นผลให้ได้เสียที นั่นคือ การใช้มาตรา 44 อย่างไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี