กรณี “ซิลลี่ ฟูลส์” หรือนายวีรชน ศรัทธายิ่ง อดีตนักร้องชื่อดัง ปัจจุบันสวมบทบาทครูสอนศาสนาอิสลาม จัดรายการ ชื่อ “โต ตาล” กล่าวถึงแนวทางของศาสนาอิสลาม ว่าทำไมถึงไม่มีรูปปั้น เหมือนชาวพุทธไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ แล้วมีถ้อยคำพาดพิงไปกระทบกระเทือนความรู้สึกของคนในสังคมที่กราบไหว้พระพุทธรูป ในทำนองว่า ผมจะไม่กราบสิ่งใดที่ต่ำเท่าผม หรือต่ำกว่าผม รูปปั้นหากผลักก็ตกแตก มันต่ำกว่าผมแล้ว มันไม่มีชีวิต จะไหว้ทำไมสิ่งไม่มีชีวิต รูปร่างอัปลักษณ์กว่าผม ปั้นให้ตายก็หล่อสู้ผม...
ปรากฏว่า ก่อให้เกิดกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด
แม้แต่ในสังคมมุสลิมด้วยกัน ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์และการแสดงความเห็นของนายวีรชน
เพจเฟซบุ๊ค สำนักจุฬาราชมนตรี ถึงกับโพสต์คลิปวีดีโอแถลงการณ์ของนายอาศิส พิทักษ์คุมพล ในฐานะจุฬาราชมนตรี โดยมีเนื้อหาเตือนสติผู้ต้องการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม และได้มีการบริภาษความเชื่อของคนต่างศาสนา ว่าเป็นการกระทำที่สร้างความไม่สบายใจต่อเพื่อนร่วมสังคม ควรให้ความเคารพต่อคนต่างศาสนา ระมัดระวังมิให้เกิดความแตกแยกในสังคม และการพูดในเชิงวิพากษ์ศาสนาอื่น ยังขัดต่อหลักอัลกุรอานที่ระบุว่า…
“…สูเจ้าอย่าได้บริภาษกลุ่มผู้คนที่เรียกร้องสิ่งอื่นนอกจากอัลเลาะฮ์ เพราะเขาจะกลับมาบริภาษอัลเลาะฮ์ จึงอยากจะขอเตือนผู้รู้ หรือผู้ที่ทำตัวเป็นผู้รู้ศาสนา นักบรรยาย นักเผยแพร่ ให้ระมัดระวังในสิ่งเหล่านี้เพราะจะนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคม และที่สำคัญขัดแย้งกับหลักคำสอนในอัลกุรอานที่ห้ามบริภาษหรือวิจารณ์ศาสนาอื่น…”
อันที่จริง ในฐานะพุทธศาสนิกชน มิได้ถือโทษโกรธแค้นนายวีรชนเลย
ออกจะเวทนาสงสารด้วยซ้ำ
อยากจะขอโอกาสอธิบายว่า เหตุที่ชาวพุทธกราบไหว้พระพุทธรูปนั้น มิใช่เพราะโง่เง่าเต่าตุนกันทั้งหมดดอก แต่มีเหตุปัจจัยรองรับอยู่
1.ปัจจัยเรื่องศรัทธาและความเชื่อ แน่นอนว่าทุกศาสนาจะต้องมี
ด้วยเหตุนี้ จะไม่ถกเถียงประเด็นนี้ต่อไป ไม่งั้นก็จะเกิดคำถามกลับไปยังศาสนาอื่นๆ ทั้งหมดเช่นกัน ต่อพฤติกรรมในเชิงศรัทธาความเชื่อทั้งหลาย
2.ชาวพุทธจำนวนไม่น้อย กราบพระพุทธรูป รวมถึงสวดมนต์ ก็เพราะทำแล้วสบายใจ เย็นใจ เกิดความสงบในจิตใจ
ประเด็นนี้ เป็นวิทยาศาสตร์ โดยมีผลต่อจิตใจ คลื่นความถี่สมอง และผ่อนคลายความเครียด
3.ชาวพุทธไม่น้อย กราบพระพุทธรูปเพื่อนึกถึงองค์พระศาสดา นึกถึงพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่าน น้อมนำเข้ามาอยู่ในความคิดคำนึง
ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องเสียหายเลยที่จะก้มลงกราบ พระพุทธรูปที่สร้างจากอะไรก็ไม่รู้ เช่น ปูน โลหะ ไม้แกะสลัก ฯลฯ ไม่ติดกับรูปวัตถุภายนอกที่เป็นอนิจจัง เพราะชาวพุทธจำนวนมากเขาน้อมใจทะลุไปถึงแก่นข้างใน ก็คือ การน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า
4.ในหนังสือ “วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม” ของท่านพุทธทาส อินทปัญโญ หรือพระอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ได้อธิบายความไว้อย่างลึกซึ้งคมคาย โดยเทียบเคียงแนวทางแห่งพุทธ กับแนวทางของมุสลิมไว้อย่างเคารพ ให้เกียรติ เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม และปัญญาอันควรแก่การเรียนรู้
ขออนุญาตนำบางช่วงบางตอน มาเสนอให้เรียนรู้ร่วมกันในโอกาสนี้
“การกราบไหว้พระภิกษุสงฆ์ มิใช่ด้วยความยึดถือในบุคคลนั้นๆ แต่เป็นการกราบไหว้ ธง หรือเครื่องหมายของพระอรหันต์ ทำนองเดียวกับที่เรากราบไหว้พระพุทธรูป อันเป็นเครื่องหมายแทนองค์พระพุทธเจ้า, หรือกล่าวอย่างธรรมดาที่สุด ก็เช่นเดียวกับราษฎรทุกคนเคารพผ้าธงไตรรงค์ อันเป็นเครื่องหมายแทนชาติ หรือถ้าเรามองเห็นคุณความดีอย่างอื่นประจักษ์ชัด เรากราบไหว้คุณความดีนั้นๆ เท่าที่รู้กันอยู่,
เราอาจกราบไหว้สิ่งที่ควรกราบไหว้ทั่วไปก็ได้ โดยปราศจากความยึดถือชนิดที่เป็นกรงกักขังหัวใจ เป็นแต่กราบไหว้ด้วยปัญญาที่รู้สิ่งที่ควรกระทำ
การกราบไหว้ ทำด้วยปัญญา ไม่ต้องยึดถือ
การกราบไหว้เฉพาะอิฐปูนที่เขาก่อเป็นพระพุทธรูป หรืออนุสาวรีย์อย่างอื่นๆ ถือกันว่า เป็นการกระทำของคนที่ปราศจากความรู้ หรือของคนโง่เขลา
ความจริง ; ท่านประสงค์ให้กราบไหว้คุณความดี ของบุคคลที่เขาสร้างอนุสาวรีย์นั้นๆ ให้เท่านั้น
เมื่อท่านผู้นั้นมีชีวิตอยู่ ตัวท่านหรือร่างกายของท่าน เป็นผู้ที่รับการกราบไหว้ แทนคุณงามความดีในตัวท่าน เมื่อท่านตายแล้ว ผู้อื่นช่วยกันสร้างอนุสาวรีย์ให้เป็นที่รับการกราบไหว้แทนร่างกายท่าน เพราะฉะนั้น ใจความสำคัญจึงมีอยู่ว่า ไม่ได้กราบอิฐปูน, แต่กราบไหว้คุณงามความดีของเขา, และทั้งกระทำโดยไม่ต้องยึดถือ ทั้งนี้เพราะเหตุว่า เราจะไปยึดถือคุณงามความดีของผู้อื่นไม่ได้ ทำได้ก็แต่เพียงบูชาเขาด้วยน้ำใจที่ยุติธรรม หรือถือเอาเขาเป็นบุคคลตัวอย่าง ในคุณความดีอันประจักษ์ชัดแล้วนี้
การไหว้พระพุทธรูปเหมือนเซ่นผีเป็นความยึดถือผิด
แต่เมื่อสังเกตดูโดยถี่ถ้วนแล้ว เราส่วนมากได้ละเลยความจริงอันนี้ และได้ปล่อยให้การยึดถือเข้าครอบงำหนักขึ้นแม้ในหมู่พวกพุทธบริษัทเอง ก็มีไม่ใช่น้อยที่ทำไปด้วยความยึดถือ และกระทำแก่พระพุทธรูปซึ่งเป็นอิฐปูนนั้น ราวกะทำแก่คนที่มีชีวิตจิตใจจริงๆ และเป็นคนที่ละโมบเสียด้วย
พระพุทธรูปถูกประดับประดาด้วยผ้าสีต่างๆ เช่นเดียวกับเทวรูปของฮินดู ถูกประดับด้วยทอง เงินและเปลี่ยนให้ตามฤดูกาลในปีหนึ่งๆ
พระพุทธรูปได้รับการถวายอาหารคาวหวาน คล้ายกับเครื่องเซ่นผี ได้รับการพรมน้ำหอมและอื่นๆ อีกมากเหลือที่จะพรรณนา
ทั้งหมดนี้เมื่อพิจารณาดูแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอย่างอื่นใด นอกจากความยึดถืออันผิดๆ และเลยกระทงแห่งศีลธรรมที่ดีงามไปเสียลิบลับ, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ผลร้าย คือ การกักกั้นจิตไม่ให้เข้าถึงพุทธธรรมชนิดที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ให้สาวกเข้าถึง
ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระชนม์ชีพอยู่ ไม่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นบูชา ไม่มีการไหว้รูปเคารพ มีบ้างก็แต่เจดีย์สร้างขึ้นเป็นอนุสาวรีย์แก่คนชั้นพระศาสดา เพื่อเกิดความสังเวชแก่ผู้พบเห็น เรียกสังเวชนียสถาน และเป็นกุศลแก่ผู้ได้ความสังเวช
แต่ในสมัยนี้มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นเกลื่อนกลาด บูชากันอย่างรูปเคารพ ได้รับการกระทำเช่นเดียวกันกับการเซ่นผีหรือการเล่นตุ๊กตาของเด็กเล็กๆ ; ซึ่งถ้าหากพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ถึงเวลานี้ หรือได้เสด็จมาเห็นเหตุการณ์ที่พลิกแพลงไปถึงเพียงนี้ คงจะทรงเห็นพ้องด้วยพระมะหะหมัด ศาสดาแห่งชนชาวอิสลาม ในการที่ห้ามสร้างรูปเคารพที่สร้างขึ้นเพื่อหลงติด เขวออกไปนอกทางแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม และคงทรงห้ามมิให้ปล่อยความเชื่อถือหรือนับถือให้ไหลไปโดยปราศจากเหตุผลเช่นนี้จนผิดจากความประสงค์เดิม
เรากราบไหว้พระพุทธเจ้าในฐานะทรงเป็นดวงประทีป
เรากราบไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยอำนาจที่เรามีจิตแจ่มใส มีปิติปราโมทย์ในพระองค์ เพราะได้ทรงค้นพบสิ่งอันเร้นลับ หรือพุทธธรรมดังกล่าวแล้ว เราได้ฟังธรรมที่พระองค์ทรงประกาศ พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ พร้อมทั้งเหตุผลบริสุทธิ์บริบูรณ์ไพเราะทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด พอที่จะให้เกิดความเชื่อขึ้นในตนเอง โดยไม่ต้องเชื่อตามพระองค์ ว่าถ้าทำไปเช่นนั้นจริงๆ ความทุกข์จะหมดไปได้
เรากราบไหว้ในชั้นนี้โดยไม่ต้องยึดถือว่าพระองค์เป็นอะไร มากไปกว่าผู้ที่ส่องประทีปให้เราเดินไปเอง และแสงสว่างแห่งดวงประทีปนั้นเราก็เห็นชัดอยู่ โดยนัยนี้จึงไม่มีการยึดถือชนิดที่จะพลิกคว่ำพระองค์ลงมาเป็นเจ้าผีที่คอยอำนวยสิ่งต่างๆ ให้ ตามที่ผู้เซ่นไหว้เขาต้องการ
ทั้งไม่ต้องยึดถือแม้แต่เพียงว่า พระองค์จะช่วยเราหรือพาเราไป, เพราะพระองค์ตรัสว่า เราจะต้องเดินไปเอง พระองค์ส่องไฟให้เราจุดดวงไฟชนิดเดียวกับของพระองค์ขึ้นเพื่อเราเอง…”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี