การปล่อยข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็น “มุสลิม” หรืออิสลามิกชนนั้น เป็นวิธีการที่ทั้ง “สิ้นคิด” และ “บัดซบ” ที่สุด
1) วันวิสาขบูชาที่ผ่านมา ท่านเพิ่งนำประชาชน ข้าราชการ “ตักบาตรพระสงฆ์”
2) ก่อนหน้านี้ งานบุญใดๆ ในพระพุทธศาสนา ที่เป็นรัฐพิธีหรือพระราชพิธี ท่านก็เข้าร่วมและปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ
3) การปล่อยข่าวเช่นนี้ มีความอัปรีย์ในตัวความคิดของคนปล่อย คนรับ และคนส่งต่อหนักหน่วงมาก กล่าวคือ มองคนต่างศาสนาเป็น “พวกอื่น” ที่จะต้องระแวงระวัง เกลียดชัง ขับออก ไม่เข้าพวกใช่ไหม
4) เพียงเพราะเป็น “มุสลิม” แล้วจะเป็นยังไง คนเราจะนับถือศาสนาใดหรือไม่มีศาสนาก็ไม่เห็นแปลก ทำไมต้องเอามาเป็นเส้นแบ่ง เป็นความต่าง แน่นอน เราอาจไม่คุ้นเคยกับระบบความคิด โลกทัศน์ ที่ศาสนาย่อมเป็นเบ้าหลอมความเชื่อ ความศรัทธา และระเบียบชีวิตอยู่บ้าง แต่นั้นถึงกับทำให้เราเป็นคนละพวกกัน และต้องเป็นศัตรูกันเลยเชียวหรือ?
5) ปรากฏการณ์ “ปล่อยข่าวรั่ว มั่วข่าวเท็จ” ให้เกิดความระแวงในหมู่ “ลูกศิษย์พระ” เช่นนี้ จะเกิดขึ้นเสมอ เมื่อคณะสงฆ์บางกลุ่ม บางสำนัก ถูกตรวจสอบ แทนที่จะใช้ความสุจริตเป็นเกราะ เป็นเครื่องพิสูจน์ ก็หาหนทางปลุกระดมศิษยานุศิษย์มาเป็นเกราะ โดยเอาความกลัว ความเกลียด ต่อเพื่อนต่างศาสนามาเป็นเครื่องมือ
6) อย่างน้อย ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 รอบ รอบแรก มีกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงและกลุ่มที่อ้างตัวเองว่าเป็นพระสงฆ์ชั้นเจ้าคุณ ส่งภาพและข้อความทางไลน์ เพื่อหลอกพระสงฆ์และพุทธบริษัทให้เข้าใจผิด โดยกลุ่มบุคคลดังกล่าวใช้วิธีแสนสกปรก พยายามบิดเบือนใส่ร้าย พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ครอบครัวของท่านเป็นอิสลาม ประมาณว่า นายกรัฐมนตรีพยายามกีดกันและจ้องทำลายพระพุทธศาสนา ซึ่งเรื่องเท็จเรื่องนี้มาจากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่นำชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง สุดประเสริฐ) ขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นสังฆราช ในตอนนั้น เพราะเห็นว่า บ้านเมืองขณะนั้นยังไม่สงบเรียบร้อย คดีความเรื่องต่างๆ ก็ยังไม่สิ้นสุด
7) ครั้งที่สอง ส่งต่อทางไลน์กันอย่างครึกโครมด้วยข้อความทำนองเดียวกัน เมื่อมีการปิดล้อมวัดพระธรรมกาย เพื่อควบคุมตัวพระธัมมชโยมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในคดีร่วมกันฟอกเงินกับอดีตผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งเป็นอดีตไวยาวัจกรวัดพระธรรมกาย มีพฤติกรรมร่วมกัน นำเงินบริจาคจากสหกรณ์มาฟอกให้เป็นเงินบุญ เงินบริจาค ที่หากสุจริตก็ย่อมพิสูจน์ได้ และรับการพิสูจน์ให้สมกับเป็นผู้ทรงศีล ที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับ “ผ้าเหลือง” เพราะศีลและความดีไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง แต่อยู่ที่ “กรรม” คือการประพฤติตน
8) นี่มาปรากฏอีกรอบ เมื่อพระมหาเถระถูกตรวจสอบเอาผิดเรื่องการทจริตเงินสนับสนุนและการฟอกเงินอย่างเข้มข้น
9) ทำอย่างไรให้เราอยู่ร่วมกันอย่าง “ผู้เจริญด้วยปัญญา” จะตำหนิ พล.อ.ประยุทธ์ ตำรวจ หรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่อาจ “เกินกว่าเหตุ” ในสายตาของพวกท่าน ก็ทำไปสิ ทำไปเถิด ครูบาอาจารย์ใคร ใครก็เคารพนับถือทั้งนั้น ก็ตั้งคำถามกัน ว่าทำไปต้องใช้ปฏิบัติการรุนแรงถึงขึ้นบุกรวบตัว จับสึก ฯลฯ ฝ่ายผู้ปฏิบัติหน้าที่ เขาก็จะได้อธิบายให้ “เจริญปัญญายิ่งๆ ขึ้นไป” ว่าข้อกล่าวหาคืออะไร ขั้นตอนการจับกุมคืออะไร เหตุที่ต้องสึกเพราะอะไร มันไม่ใช่แค่ใครคนใดคนหนึ่งตัดสินใจ แต่ทั้งหมดต้องมีพยาน หลักฐาน และขออำนาจศาลดำเนินการ แต่เหตุที่หลายเรื่อง ฝ่ายผู้ปฏิบัติไม่ได้ชี้แจงออกมา ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่อง “ในสำนวนคดี”
10) อันที่จริง พฤติการณ์ของพระเหล่านั้น สื่อมวลชนก็รายงานกันไปพอสมควรแล้ว หากเป็นพุทธศาสนิกชนที่เจริญด้วยปัญญาอย่างแท้จริงแล้ว ต้องมีอุเบกขา เพื่อเปิดทางให้ตรวจสอบ เพราะหากผลการตรวจสอบออกมาว่าท่านไม่ผิด ท่านสุจริตกันอย่างเหลือเกิน นั่นยิ่งเป็นตราประทับรับรอง ศรัทธาจะยิ่งท่วมท้น
11) พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเรื่อง “กาลามสูตร” ไว้แล้วมิใช่หรือ ว่า อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน) อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา (มา ปรมฺปราย) อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย) อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ) อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ) เอาแต่กราบไหว้ ไม่ได้ซึมซับธรรมปัญญาเหล่านี้ ไปเป็นเครื่องมือพิจารณาเหตุการณ์หรือข้อมูลทั้งหลายกันเลยใช่ไหม
12) พล.อ.ประยุทธ์ บัดนี้ท่านคือผู้นำฝ่ายบริหารของประเทศ ท่านมีหน้าที่ทำตามรัฐธรรมนูญ คือ ส่งเสริมทุกศาสนาในแผ่นดินของเรา ภาพที่ส่งต่อๆ กันปลุกปั่นส่งเดชว่าท่านเป็นมุสลิมนั้น แท้จริงมาจากงาน “ฮาลาล” บ้าง งานอื่นๆ บ้าง ก็เท่านั้นเอง พระเจ้าแผ่นดินของเรา ชัดเจนมากๆ คือในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ท่านทรงเอาพระทัยใส่ ทำนุบำรุงทุกศาสนา รวมทั้งศาสนาอิสลามด้วย โดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันนี้ ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ร่วมงานเมาลิดกับพสกนิกรที่เป็นชาวไทยมุสลิมก็บ่อยครั้งไป เพราะศาสนา เป็นเรื่องศรัทธา เป็นเรื่องตามอัธยาศัย ใครจะนับถือศาสนาใดก็เป็นศรัทธาส่วนตัวของเขา ซึ่งไม่ได้ทำให้ความเป็นมนุษย์หรือความเป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมแผ่นดินของเรา ขาดจากกันเสียหน่อย
13) พล.อ.ประยุทธ์ คงต้องหยุดขบวนการปลุกปั่นให้เกิดความชิงชังทางศาสนานี้ให้จริงจังเสียแล้ว ก่อนที่แผ่นที่เคยร่มเย็นเป็นสุขบนความแตกต่างหลากหลาย จะไม่เป็นดังเก่า เช่นเดียวกับการดำเนินคดีกับพระสงฆ์นั้น ดีที่สุดให้ตั้งคณะทำงานด้านการสื่อสารและการสร้างความรับรู้ต่อสังคมด้วย จะได้ไม่ให้ฝ่ายชั่ว ปล่อยข่าวปลุกปั่น สร้างความกังวล ระแวง อยู่ข้างเดียว
ขอปิดท้ายเพื่อให้เป็นข้อคิดแก่เราทุกคน ด้วยปุจฉา-วิสัชนา ของพระไพศาล วิสาโล ที่ว่า...
“ปุจฉา-สถานการณ์พุทธศาสนาปัจจุบัน ที่หลายคนมองว่าศาสนาอื่นจะมาครอบครองประเทศไทย
พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา-พระพุทธเจ้าเคยตรัสเป็นอุปมาว่า
“เรือล่มเพราะต้นหน (ไม่ใช่เพราะลมพายุ)” หมายความว่าปัจจัยสำคัญภายในนั้นสำคัญกว่าปัจจัยภายนอก หากว่าเรือนั้นหมายถึงพุทธศาสนา พุทธศาสนาจะเสื่อมหรือไม่ก็อยู่ที่พุทธบริษัทเป็นสำคัญ มิใช่เพราะคนภายนอก ดังพระองค์ได้ตรัสว่า ความเสื่อมของพุทธศาสนา หรือ “ความอันตรธานแห่งสัทธรรม” นั้น เกิดจากเหตุ 5 ประการ ได้แก่ “ภิกษุทั้งหลายไม่ฟังธรรมโดยเคารพ ไม่เล่าเรียนธรรมโดยเคารพ ไม่ทรงธรรมไว้โดยเคารพ ไม่ไตร่ตรองแห่งธรรมที่ทรงไว้โดยเคารพ ครั้นรู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแล้ว ไม่ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม”
หากว่าพุทธพจน์ดังกล่าว พุทธบริษัททั้งหลายนำไปปฏิบัติ ไม่เฉพาะภิกษุสงฆ์เท่านั้น ก็มั่นใจได้ว่าพุทธศาสนาจะมีความมั่นคง พระสัทธรรมจะไม่อันตรธานหรือเสื่อมลง อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าทุกวันนี้ พุทธบริษัทจำนวนมากไม่ได้ศึกษาธรรมอย่างถูกต้อง รวมทั้งไม่ได้ปฏิบัติให้เห็นผล ส่วนหนึ่งจึงละทิ้งพุทธศาสนา หันไปนับถือศาสนาอื่น ขณะที่จำนวนไม่น้อยเห็นพระสงฆ์ทำตนไม่น่าเลื่อมใส จึงเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนาไปเลย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการที่พระสงฆ์ประพฤติตนเช่นนั้นก็เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ทั้ง 5 ประการ ยังไม่ต้องพูดถึงชาวพุทธจำนวนมากที่หันไปนับถือไสยและวัตถุนิยมด้วยความเข้าใจว่าเป็นพุทธศาสนา จึงเปิดช่องให้ไสยศาสตร์และลัทธิบริโภคนิยมซึ่งเป็นกามสุขัลลิกานุโยคสมัยใหม่แทรกซึมเข้ามาจนครอบงำพุทธศาสนาในปัจจุบัน
ศาสนาอื่นนั้นเป็นปัจจัยภายนอก หากว่าเขามีความพยายามที่จะดึงชาวพุทธให้เข้ารีตหรือนับถือศาสนาของตน แต่ถ้าหากชาวพุทธเข้าใจพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง และปฏิบัติจนพบความสุขสงบเย็นภายใน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหันไปนับถือศาสนาอื่น ดังนั้นคำถามที่เราควรถามตัวเองก็คือ เหตุใดชาวพุทธจำนวนมากจึงไม่ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ในที่สุดก็จะพบว่าการศึกษาและเผยแผ่พุทธศาสนาทุกวันนี้มีปัญหามาก ขณะเดียวกันผู้ที่ทำหน้าที่นี้คือพระสงฆ์ก็มีปัญหามากมายเช่นกัน ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากศาสนาอื่น แต่เกิดจากความย่อหย่อนไม่ใส่ใจของชาวพุทธด้วยกัน รวมทั้งองค์กรทางพุทธศาสนา ตั้งแต่มหาเถรสมาคมลงมา
น่าเสียใจที่น้อยคนกล้ายอมรับปัญหาและข้อบกพร่องดังกล่าวอย่างซื่อตรง จึงพยายามกล่าวโทษผู้อื่นหรือปัจจัยภายนอก ซึ่งมิใช่ท่าทีของชาวพุทธ ท่าทีที่ถูกต้องคือหันมาตรวจสอบตนเอง กล้าวิพากษ์ตนเอง และยอมรับคำท้วงติงของผู้อื่น เพื่อหันมาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง ซึ่งหมายถึงการปฏิรูปสถาบันสงฆ์ และปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างพุทธบริษัท(โดยเฉพาะพระสงฆ์กับฆราวาส) ให้มีความแน่นแฟ้นและเกื้อกูลกันในทางธรรมยิ่งขึ้น มิใช่มุ่งสนองประโยชน์ทางวัตถุเท่านั้น
เป็นเพราะละเลยที่จะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง พุทธศาสนาจึงซวดเซลงเป็นลำดับ สร้างความหวั่นวิตกให้แก่ชาวพุทธจำนวนไม่น้อย จึงเกิดความหวาดระแวงศาสนาอื่นหนักขึ้นกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้จึงเกิดกระแสการโจมตีศาสนาอื่นว่าเป็นตัวบั่นทอนพุทธศาสนา
สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้จึงมิได้อยู่ที่การ “ปกป้อง” พุทธศาสนา แต่อยู่ที่การ “ปฏิบัติ” พุทธศาสนา และ “ปฏิรูป” สถาบันพุทธศาสนามากกว่า หรือถ้าจะปกป้อง ก็ควรปกป้องรักษาใจไม่ให้กิเลสตัณหาและความโกรธเกลียดครอบงำ เพราะสิ่งเหล่านี้มีแต่ทำให้มองความจริงอย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อน และนำไปสู่การสร้างปัญหายิ่งกว่าจะแก้ปัญหา”
จงร่วมกันสร้างความเหมือน ความรัก และความพร้อมเพรียงมิใช่สร้างความต่าง ความชิงชัง และความแตกแยก!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี