เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2561 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีฆ่าแขวนคอวัยรุ่นชาวกาฬสินธุ์ หมายเลขดำ อ.3252/2552 ที่มีอดีตตำรวจจังหวัดกาฬสินธุ์ ตกเป็นจำเลย
ประกอบด้วย ด.ต.อังคาร คำมูลนา ด.ต.สุดธินันท์ โนนทิง ด.ต.พรรณศิลป์ อุปนันท์ พ.ต.ท.สำเภา อินดี อดีต สวป.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ พ.ต.อ.มนตรี ศรีบุญลือ อดีต ผกก.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ และ พ.ต.ท.สุมิตร นันท์สถิต อดีต รอง ผกก.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ (ทั้งหมดมียศและตำแหน่งขณะนั้น) เป็นจำเลยที่ 1-6
ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ย้ายศพเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตาย และเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญากระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องรับโทษ
ตามฟ้องระบุว่า เหตุเกิดระหว่างวันที่ 22- 23 ก.ค. 2547 จำเลยที่ 1-3 และจำเลยที่ 6 ซึ่งขณะนั้น เป็นตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.เมืองกาฬสินธุ์
ร่วมกันฆ่านายเกียรติศักดิ์ ถิตย์บุญครอง อายุ 17 ปีเศษ ผู้ต้องหาคดีลักรถ จยย. ขณะนำตัวออกจากสภ.เมืองกาฬสินธุ์ ด้วยการบีบรัดคอจนเสียชีวิต จากนั้นร่วมกันปิดบังเหตุการณ์ตาย โดยย้ายศพผู้ตายจากท้องที่เกิดเหตุ ไปแขวนคอไว้ที่กระท่อมนาบ้านบึงโดน ม.5 ต.แสนชาติ อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด โดยจำเลยที่ 4- 6 ได้ร่วมกันข่มขู่พยานเพื่อให้การอันเป็นเท็จ จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2555 ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ และย้ายศพเพื่อปิดบังสาเหตุการตาย ส่วนจำเลยที่ 6 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ ส่วนจำเลยที่ 5 ลงโทษจำคุก 7 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญากระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบฯ และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4
ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1-3 แต่คำให้การของจำเลยที่ 2 มีประโยชน์ในการพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 50 ปี
พิพากษาแก้ ให้ลงโทษจำคุก จำเลยที่ 5-6 คนละ 5 ปี
และพิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ ลงโทษประหารชีวิต แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 ตลอดชีวิต
อัยการโจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลย ต่างยื่นฎีกา
1.เมื่อวานนี้ มีบรรดาญาติ ผู้เสียชีวิต และญาติฝ่ายจำเลยเกือบ 20 คน เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาศาลฎีกา
แต่ถึงเวลา ปรากฏว่า พ.ต.อ.มนตรี จำเลยที่ 5 ที่ได้รับการประกันตัว ไม่มาศาล ทนายความระบุว่าไม่สามารถติดต่อกับจำเลยที่ 5 ได้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พ.ต.อ.มนตรี จำเลยที่ 5 ทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ไม่มาศาล ถือว่ามีพฤติการณ์หลบหนี ให้ออกหมายจับ ปรับนายประกันเต็มตามจำนวน 1 ล้านบาท
นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้ง วันที่ 11 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
2.น่าสนใจว่า สุดท้าย ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในคดีนี้อย่างไร?
คดีนี้ อาจเป็นคดีฆาตกรรมคดีหนึ่ง แต่มีจำเลยเป็นตำรวจในพื้นที่ ถูกฟ้องว่ามีพฤติกรรมอุ้มฆ่า แล้วอำพรางด้วยการแขวนคอ แต่ที่น่าสนใจ คือ ฉากหลังของการสังหารโหดนั้น คือ สงครามยาเสพติด ในยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งเป็นบริบททางนโยบายที่ทำให้เกิดการสังหารโหดขึ้นทั่วประเทศในช่วงเวลานั้น
3.ยังจำได้ มีการเสียชีวิตกว่า 2,500 ศพ ในระหว่างประกาศสงครามยาเสพติดของนายทักษิณ ชินวัตร
ตำรวจยุคนั้น อ้างว่า “ฆ่าตัดตอน” คือ พ่อค้ายาเสพติดฆ่าเครือข่ายยาเสพติดด้วยกันเอง เพื่อตัดตอนความผิด มิให้สาวมาถึงตนเอง
ในความเป็นจริง คนที่ถูกฆ่าตายกว่า 2,500 ราย ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำของทางการ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์เลยว่าเขาเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดจริงหรือไม่?
ถูกนักค้ายาฆ่ากันเองกี่ราย?
ถูกเจ้าหน้าที่ฆ่าตายกี่ราย?
และมีกี่รายที่ถูกเจ้าหน้าที่ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อให้มีผลงานตามนโยบายของทักษิณ?
ส่วนใหญ่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำของทางการ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่
4.การขึ้นบัญชีดำของทางการในขณะนั้น มีความบกพร่องร้ายแรง
พ่อค้ายาบางรายไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีดำ
แต่คนมีชื่ออยู่ในบัญชีดำจำนวนมาก กลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้าขายยาเสพติดเลย
รัฐบาลทักษิณ ขณะนั้น ได้สั่งการเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐจัดทำบัญชีรายชื่อของประชาชนผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด (บัญชีดำ) โดยวิธีการให้ประชาชนในชุมชนแจ้งรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งผู้เสพและผู้ค้า โดยหย่อนรายชื่อในกล่องให้ทางการ เหมือนลงคะแนนโหวตเลือกผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงเกิดความคลาดเคลื่อน ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องถูกขึ้นชื่ออยู่ในบัญชีดำจำนวนมาก เพราะเกิดการใส่ร้ายป้ายสีกันระหว่างผู้มีความขัดแย้ง ศัตรูคู่อาฆาต คู่แข่งทางธุรกิจการค้าในท้องถิ่น คู่แข่งทางการเมือง เกิดการแก้แค้นผู้ที่มีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือทางราชการ รวมไปถึงการเลือกปฏิบัติโดยอคติทางชาติพันธุ์ อคติต่อชาวเขา คนมีชื่อในบัญชีดำ จึงไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเสมอไป
5.ในสงครามยาเสพติดนั้น ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจ ถูกทักษิณเร่งรัด สั่งการ กดดัน อ้างปฏิบัติการทำสงครามขั้นแตกหักในระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546
มีการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ต้องปราบปรามผู้มีรายชื่อในบัญชีดำให้ได้อย่างน้อยถึงร้อยละ 25
พูดง่ายๆ ว่า ต้องตัดยอดบัญชีดำ ทำให้ลดลงอย่างน้อย 25% ภายในเวลา 3 เดือน
โดยกำหนดหลักเกณฑ์ที่ใช้วัดผลในการตัดยอดคนในบัญชีดำ 3 อย่าง คือ
(1) การจับกุมดำเนินคดีจนถึงขั้นอัยการส่งฟ้องศาล
(2) การวิสามัญฆาตกรรม
และ (3) การที่ผู้มีรายชื่อในบัญชีดำเสียชีวิต ไม่ว่าด้วยกรณีใดก็ตาม
รัฐบาลทักษิณ ถึงกับสั่งการ กดดันเจ้าหน้าที่ให้เร่งทำยอด ซึ่งหากไม่สามารถทำได้ ก็จะต้องถูกโยกย้ายหรือพิจารณาโทษทางวินัย โดยทักษิณถึงกับกำชับและข่มขู่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานว่า “ถ้าล้มเหลว ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดก็คงต้องไปด้วยกัน”
ยิ่งกว่านั้น นอกจากรัฐบาลทักษิณจะได้กำหนดหลักเกณฑ์ปฏิบัติดังกล่าวแล้ว ทักษิณยังได้สั่งการ มอบหมายนโยบาย และชี้นำผู้ปฏิบัติงานโดยใช้ถ้อยคำ วาทกรรมที่รุนแรง ในลักษณะยุงยงส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงนอกระบบกฎหมายเข้าจัดการอย่างเด็ดขาด เช่น
“ท่านต้องใช้ Iron fist หรือกำปั้นเหล็ก ใช้ความเด็ดขาดอย่างชนิดไม่ต้องปรานี พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เคยกล่าวไว้ว่า ภายใต้แสงอาทิตย์ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องยาเสพติดผมมั่นใจว่าตำรวจไทยจัดการได้”
“การทำงานหนักของท่าน 3 เดือน ถ้าจะมีผู้ค้ายาตายไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ” หรือ “บางทีถูกยิงตายแล้วต้องถูกยึดทรัพย์ด้วย ผมคิดว่าเราต้องพอกัน” หรือ “ที่อยู่ของขบวนการค้ายาเสพติดมี 2 ที่ คือถ้าไม่ไปคุก ก็ไปวัด”
รวมไปถึง “ผมจัดการแน่นอน ไม่เก็บไว้ทำพ่อหรอก ขอให้บอกเบาะแสมา ใครขายยาผมจะหิ้วให้หมด จะส่งไปเยี่ยมยมบาลให้หมด”
ด้วยเหตุนี้ ภายในช่วงเวลา 3 เดือน จึงมีการ “ทำยอด” และปรากฏว่า ประชาชนที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำของทางการถูกยิงทิ้งจำนวนมาก
6.เหยื่อจากนโยบายสงครามยาเสพติดของระบอบทักษิณ จึงไม่ใช่แค่ผู้ที่ถูกฆ่าตายไปโดยไม่ทันได้พิสูจน์ในชั้นศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตำรวจ ที่ถูกกดดัน สั่งการเชิงนโยบาย และนำไปสู่การฆาตกรรมอย่างเป็นระบบในวงกว้าง
นี่คืออาชญากรรมร้ายแรงต่อมนุษยชาติ
นี่คือบาดแผลจากนโยบายสงครามยาเสพติด ที่มุ่งเอาคะแนนนิยมทางการเมือง มากกว่าจะขุดรากถอนโคนผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่จริงๆ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี