ผมขอสนับสนุนการออกกฎหมายปลดล็อก “กัญชา” เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ถึงเวลาทำให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียที คนป่วยยังรออยู่อีกมาก
งานวิจัยหลายฉบับระบุว่าสาร CBD (Cannabidiol) และสาร THC (Tetrahydro-cannabinol) ในกัญชามีประโยชน์ใช้ร่วมกับการรักษาหลักได้เป็นอย่างดี เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัดแล้วคลื่นไส้อาเจียน โรคลมชักในเด็กที่รักษายาก หรือลมชักที่ดื้อต่อการรักษาด้วยวิธีต่างๆ ผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ที่มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเส้นประสาทที่รักษาด้วยวิธีการต่างๆ แล้วไม่ได้ผล หากใช้สารสกัดจากกัญชาร่วมรักษาด้วย จะทำให้การรักษาพยาบาลในอาการหลักมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เพราะกินได้ นอนหลับเต็มที่
ทางการแพทย์ สารสกัดกัญชา CBD ประเภทยาหยอดใต้ลิ้น เป็นที่จุดร่างกายดูดซึมได้ง่ายนั้น ถูกใช้เพื่อรักษาอาการป่วยอย่างกว้างขวางในต่างประเทศและมีราคาแพง เนื่องจากการเพาะปลูกนั้นทำได้ยากในประเทศเมืองหนาว ต้องปลูกในโรงเรือนปิดและต้องเปิดไฟฉายแสงใส่ต้นกัญชาให้โตกันเลยทีเดียว ต้นทุนสูงก็ขายแพงเป็นธรรมดา แต่ประเทศที่ปลูกได้ปลูกดีอย่างประเทศไทย กลับไม่อนุญาตให้ปลูกเด็ดขาด แค่นักวิทยาศาสตร์จะสกัดมาทำวิจัยก็ยังไม่ได้ เพราะกัญชาเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 โทษในการครอบครองไม่มีข้อยกเว้นใดๆ แม้จะทำเพื่อรักษาคนก็ตาม ต่างจากมอร์ฟีนอันแสนแพงที่โรงพยาบาลสามารถครอบครองและใช้ทางการแพทย์ได้
ประเทศไทยมีของดี อยากให้ผู้บริหารเปิดใจ มองไกลๆ ถ้าได้รับอนุญาตให้ผลิตเองได้ เราก็จะสามารถลดการนำเข้ายาแก้ปวด ยาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทได้หลายตัวทีเดียว คนไทยได้ใช้ยาราคาถูกลง และสามารถกระจายรายได้สู่เกษตรกรได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยขณะนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มีความสามารถ มีอุปกรณ์พร้อมในการตรวจพิกัดจุดที่ได้รับอนุญาตให้ปลูกกัญชาได้ ศักยภาพของ ป.ป.ส. ในการควบคุมการเพาะปลูกถือว่าอยู่ในจุดที่ใช้ได้ทีเดียว
เป็นเรื่องดีที่จะเริ่มนับ 1 ปลดล็อกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็ได้ส่งร่างกฎหมายให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
จากร่างกฎหมายที่ผมได้อ่านแล้ว เห็นว่าควรแก้ไข เงื่อนไขการอนุญาต ซึ่งบางคำในร่างกฎหมายยังไม่ชัดเจนเช่น คำว่า “เฉพาะกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการ” ควรจะตัดออกไป เพื่อให้มหาวิทยาลัยเอกชน โรงพยาบาลเอกชนต่างๆ ได้มีส่วนร่วมพัฒนาตัวยาด้วย
อีกประเด็นที่สำคัญ คือกรณีออกใบอนุญาตให้จำหน่ายหรือมีไว้ครอบครอง ควรจะกำหนดให้เป็น “ผู้มีสัญชาติไทยและมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย” ไม่ใช่กำหนดไว้เฉพาะ “มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย” เพียงอย่างเดียว เพราะจะเป็นช่องว่างให้ต่างชาติที่มีความชำนาญและความพร้อมมากกว่าเรามาหาประโยชน์ในประเทศเราได้ในขณะที่เรายังไม่พร้อม เดี๋ยวจะเป็นเตะหมูเข้าปากหมา จึงควรกำหนดบังคับไว้ให้กับผู้มีสัญชาติไทย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยเช่นกัน
คราวนี้ต้องมาลุ้นกันว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายหรือไม่ แล้วจะผ่านกระบวนการของสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติอีก 3 วาระทัน สนช.หมดสมัยหรือไม่ด้วย หากปล่อยเวลานี้ผ่านไปอาจพลิกผันได้ จึงคาดหวังให้กฎหมายผ่านภายในรัฐบาลชุดนี้ เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เพื่อ เป็นการเตรียมความพร้อมนับหนึ่งในการใช้ประโยชน์จากกัญชา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี