ปัญหาเศรษฐกิจของคนไทยในระดับรากหญ้าที่ยากจนกลายเป็นประเด็นหาเสียงของพรรคการเมืองเครือข่ายของระบอบทักษิณอย่างหนักในช่วงปลายปี 2561 ต่อปี 2562 เพราะใกล้จะเลือกตั้งในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เต็มทีนั่นเอง ซึ่งการกล่าวโจมตีผลงานของรัฐบาลคสช.ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้นมีตั้งแต่ต้นปี 2558 แล้ว
เป้าหมายการโจมตีก็คือนโยบายการบริหารงานทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นหลักเพราะรัฐบาลคสช.ไม่ใช้นโยบายประชานิยมแบบรัฐบาลในระบอบทักษิณ ผู้โจมตีก็ไม่ใช่ใครล้วนเป็นอดีตสส.พรรคคนรักคนโกงทักษิณเป็นส่วนใหญ่ทั้งๆ ที่ทักษิณและยิ่งลักษณ์น้องสาวมีคดีทุจริตติดตัวต้องหนีคดีอาญามากมายหลายคดี ซึ่งนอกจากอดีตสส.แล้วก็มีขบวนการรับจ้างมาร่วมผสมโรงโจมตีรัฐบาลคสช.และทหารในกองทัพด้วย
มิหนำซ้ำพรรคคนรักคนโกงยังมีแนวร่วมผสมผสานโจมตีรัฐบาลอีก อาทิ สื่อสารมวลชนทั้งสื่อสิ่งพิมพ์, สื่อโทรทัศน์วิทยุ และบรรดาดีเจนักจัดรายการในคลื่นวิทยุต่างๆที่เป็นของรัฐบาลที่จอมโกงได้ใช้เงินฟาดหัวให้สนับสนุนมานานปีก็ได้ออกมาประสานเสียงอัดผลงานของรัฐบาลและพุ่งประเด็นไปที่ผลงานเศรษฐกิจและตัวบุคคลสำคัญในรัฐบาล 3 คน ได้แก่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา อย่างหนักต่อเนื่อง
ในขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจของคนรากหญ้าทั่วประเทศกำลังโดนโจมตีหนักหน่วงโดยเฉพาะในปี 2561 ที่กำลังผ่านพ้นไปนั้นปัญหาราคาพืชผลที่ตกต่ำโดยเฉพาะยางพารา, ปาล์มน้ำมัน, มะพร้าว, สับปะรดในพื้นที่ 16 จังหวัดตามเส้นทางรถไฟสายใต้ถูกทุกพรรคการเมืองหยิบยกขึ้นมาโจมตีนโยบายแก้ไขปัญหาของรัฐบาลอย่างรุนแรงทีเดียว
ส่วนผลงานรัฐบาลที่เป็นข้อดีก็ถูกโจมตีหนักเช่นกันเพราะรัฐบาลคสช.กำลังจะเดินหน้าต่อด้วยการตั้งพรรคการเมืองขึ้นสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั่นเอง ไม่ว่าจะเรื่องการจัดการบริหารผลผลิตทางด้านการเกษตรและการประมงที่รัฐบาลจำต้องปฏิบัติตามแรงต่อต้านจากประเทศประชาคมเศรษฐกิจยุโรปไม่เช่นนั้นโรงงานผลผลิตประมงจะต้องปิดกิจการในอนาคตเพราะตลาดโลกไม่ยอมรับซื้อ
ข้อเท็จจริงที่สำรวจพบก็คือรัฐบาลได้ใช้นโยบายตามกฎหมายระหว่างประเทศหลายมาตราไม่ยอมใช้นโยบายประชานิยมไม่มีการรับซื้อผลผลิตที่ล้นตลาดในช่วงปี 2557 – 2561 นอกจากนั้นรัฐบาลยังใช้นโยบายในการปราบปรามการทุจริตทั้งมีการจับกุมข้าราชการส่วนท้องถิ่น,ข้าราชการส่วนภูมิภาค,พระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ รวมไปถึงการสั่งยุบมูลนิธิที่ผิดกฎหมายและการปราบยาเสพติดอย่างถอนรากถอนโคนซึ่งยังผลให้กำลังซื้อในท้องถิ่นลดเพราะกำลังซื้อจากเรื่องผิดกฎหมายต่างๆ หดหายไปหมด
อีกประการคือเอสเอ็มอีในเมืองใหญ่มีการซื้อขายสินค้าออนไลน์อย่างแพร่หลายเศรษฐกิจระบบนี้ได้ไปทำลายธุรกิจร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศนับแสนๆ รายมีผลให้ตลาดแบบเก่าหดตัวไม่มีลูกค้าและนโยบายการขึ้นภาษีสินค้ากลุ่มสุรา เบียร์ ไวน์ สุราแช่ และบุหรี่ซิกาแรต ทำให้มีผลมากต่อผู้ค้ารายย่อยย่ำแย่เพราะสินค้าขายไม่ออกซึ่งทำให้เศรษฐกิจรากหญ้าทั้งในเมืองและชนบทต้องล้มไปตามๆ กันการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจรากหญ้าจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องรีบแก้ไขโดยด่วน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี