เกิดเป็นคนทั้งทีต้องรู้กาลเทศะด้วย อย่าทำตัวเป็นคนไม่มีกาลเทศะ เพราะคนที่ไม่รู้กาลเทศะคือคนที่ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นใดเป็นเรื่องเหมาะหรือควร แต่จะทำไปตามแรงกระตุ้นที่ไร้สำนึกของตนเองตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่วิสัยของผู้เจริญ
คนไม่รู้กาลเทศะเป็นคนน่ารังเกียจ และน่าสมเพช เพราะเป็นคนที่ชอบกระทำในสิ่งที่สาธารณชน วิญญูชน ปัญญาชน และปกติชนไม่ประพฤติปฏิบัติกัน
อย่างเช่น เรื่องการแต่งกายเพื่อเข้าร่วมในกิจกรรมใดๆ ของสังคมมนุษย์ ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ผู้เข้าร่วมในแต่ละกิจกรรมของสังคมจะต้องรู้ความเหมาะความควร ต้องรู้กาลเทศะในการแต่งกาย การวางเนื้อวางตัว และการแสดงออกซึ่งกิริยาท่าทาง การใช้คำพูดคำจา เรื่องปกติสามัญแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีการตราไว้ในกฎหมาย เพราะเป็นเรื่องของสามัญสำนึกที่จำเป็นต้องมีวิญญูชนทุกคน และเป็นเรื่องที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ประดับตัวไว้ ก่อนที่จะพาร่างของตนเข้าไปอยู่ในที่ประชุม หรือที่สมาคมนั้นๆ
อาจจะมีบางคนดันทุรัง แล้วยังอุตส่าห์แถกแถแก้ตัวว่า การแต่งตัวเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล เป็นเรื่องที่คนอื่นไม่ควรก้าวล่วง แถมยังมีบางคนออกมาแถกแถว่าไม่หนักหัวใคร ซึ่งก็ต้องบอกว่า รับรองว่าจะไม่มีใครก้าวล่วงในเรื่องนี้เลย และรับรองจะไม่มีใครให้ความสนใจด้วยกับการที่คนผู้นั้นจะแต่งตัวอย่างไร ถ้าหากเขาผู้นั้นอยู่ในที่รโหฐานเป็นการเฉพาะของเขา แบบนี้รับรองไม่มีใครแส่ส่ายแหย่สายตาเข้าไปสอดรู้สอดเห็นเป็นแน่นอน แต่การที่เขาผู้นั้นจำเป็นต้องไปร่วมสมาคมกับผู้คนอื่นๆ โดยในสมาคมแห่งนั้นมีกฎมีระเบียบกำหนดไว้แล้ว แต่กลับดันทุรังอ้างว่าการแต่งตัวเป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้าอ้างแบบแถเช่นนี้ก็ต้องขอบอกตรงๆ อีกครั้งว่าเป็นการอ้างที่ไม่มีตรรกะแม้แต่น้อย แล้วถ้ายิ่งอ้างแบบนี้ก็จะเท่ากับยอมรับสารภาพโดยดุษณีว่าไม่รู้กาลเทศะ และอาจจะเข้าตำราไม่มีพ่อแม่คอยสั่งคอยสอนว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะ
อุตส่าห์ได้เกิดเป็นคนทั้งที ก็ควรจะต้องรู้จักมารยาทสังคม ต้องรู้จักการวางเนื้อวางตัว ต้องระวังสำรวมกิริยาท่าทาง รวมถึงต้องรู้มารยาทในการพูดการจา การกินการอยู่ และต้องรู้ขนบประเพณี ต้องรู้ว่าอะไรควรกระทำ และอะไรที่ไม่ควรกระทำ หรือเป็นเรื่องต้องห้าม
เรื่องการรู้จักกาลเทศะบังเกิดกับบุคคลได้ก็เพราะได้รับการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนจากครอบครัว เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดมาจากสัญชาตญาณ การที่คนบางคนสามารถประพฤติปฏิบัติตัวได้เหมาะสมถูกต้องกับกาลเทศะจึงเป็นเรื่องที่มาจากการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่และสถาบันครอบครัว รวมไปถึงได้รับการอบรมบ่มเพาะจากสถาบันสังคมอื่นๆ เช่น โรงเรียน และสามารถเรียนรู้ได้จากกลุ่มเพื่อนฝูง และผู้คนที่เขาเหล่านั้นคบค้าสมาคมอยู่ด้วย
การแต่งตัวที่เหมาะสมถูกต้องกับกาลเทศะของบุคคลคือการแสดงออกถึงการเคารพสถานที่ และยังแสดงออกถึงการเคารพและให้เกียรติกับผู้อื่นที่ร่วมอยู่ในสมาคมนั้นๆ ส่วนคนที่แต่งเนื้อแต่งตัวโดยไม่รู้กาลเทศะคือคนที่จงใจประจานตัวเองต่อสังคมว่าเป็นคนที่ปราศจากความคิด ขอย้ำอีกครั้งว่า เรื่องการรู้จักกาลเทศะเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นเรื่องจำเป็นมากของมนุษย์ผู้เจริญ แต่ถ้าหากรู้ตัวว่าตนเองเป็นคนไม่รู้จักกาลเทศะ ก็ไม่ควรจะออกไปคบหาสมาคมกับคนที่เขารู้กาลเทศะ แล้วก็ควรจะจำกัดวงของตนเองให้อยู่เฉพาะในที่รโหฐาน หรือหากจะคบค้าก็ต้องคบค้ากับพวกไร้กาลเทศะด้วยกันเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี