ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดปัญหาหนึ่งของประเทศไทยที่รักยิ่งของเราก็คือการปฏิรูปการศึกษาที่ดูเหมือนว่ายังไม่คืบหน้าไปอย่างที่ต้องการเพราะปัจจุบันโลกหมุนเร็วมากมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ วินาที ประเทศไทยเริ่มเติบโตช้าลงอัตราการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจในระยะ 15 ปีที่ผ่านมาค่อยๆ ลดลงไปตามลำดับ แถมจำนวนประชากรของไทยเองก็เกิดความถดถอยจำนวนประชากรมาตันอยู่ที่ 67 ถึง 68 ล้านคน เพราะสังคมไทยมีการคุมกำเนิดแบบได้ผลมากกว่าทุกๆ ชาติในเอเชียก็น่าจะเป็นไปได้กลายเป็นว่าคนหนุ่มคนสาวและเด็กมีลดจำนวนลงในขณะที่เกิดมีผู้สูงอายุ คือ สว.มากขึ้นใกล้จะเป็นร้อยละ 25 ของประชากร คือ 17 ล้านคน
สถิติที่ปรากฏล่าสุดพบว่าประเทศของเรานั้นกระทรวงศึกษาธิการใหญ่ที่สุด มีสถานที่ราชการกระจายออกไปทั่วประเทศ 77 จังหวัด และเป็นกระทรวงที่มีข้าราชการและพนักงานราชการมีจำนวนมากที่สุด ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการแยกเป็น2 กระทรวงด้วยกัน คือ กระทรวงศึกษาธิการเดิมและกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการมีรัฐมนตรี3 คน คือ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช และ นางกนกวรรณวิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ ส่วนกระทรวงการอุดมศึกษาฯมีรัฐมนตรี 1 คน คือ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์
ส่วนจำนวนนักเรียนนักศึกษานั้นข้อมูลล่าสุดปรากฏว่ามียอดรวมทั่วประเทศ 10,092,583 คน เท่ากับร้อยละ 14.84 ของประชากรทั้งประเทศและประเทศไทยนั้นมีเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 3 ถึง 21 ปี ที่อยู่ในวัยเรียนประมาณ 16,921,048 คน ปัจจัยภายนอกที่กำลังเป็นผลกระทบระบบการศึกษาของไทยนั้นมีหลายข้อ อาทิ ในระยะ20 ปีที่ผ่านมา จำนวนประชากรเด็กเกิดน้อยลงมากจากเดิมปีละ 1.3 ล้านคนเหลือเพียงปีละ 500,000 ถึง 600,000 คนเมื่อประชากรน้อยได้ส่งผลให้โครงสร้างของสถานศึกษาได้รับความกระทบกระเทือนค่อนข้างมาก
เพราะหมดยุค “เบบี้บูม” สภาวะโรงเรียนและสถานศึกษาร้างไร้คนเข้าไปศึกษาแถมในปี 2564 นั้นข้าราชการครูวิชาชีพ 200,000 คน ก็จะต้องเกษียณอายุราชการพร้อมๆ กันปัญหาที่ตามมาคือกระทรวงต้องรับสมัครครูวิชาชีพรุ่นใหม่เข้ามาทดแทนอย่างน้อยประมาณร้อยละ 50คือ 100,000 คน โรงเรียนระดับอนุบาลและประถมศึกษากำลังมีปัญหานักเรียนน้อยมากๆ เหลือนักเรียนตามห้องชั้นละไม่เกิน 25 คนจนต้องแก้ไขปัญหาด้วยการยุบรวมโรงเรียนหลายๆ แห่งที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันมาเป็นโรงเรียนเดียวกันเพราะปัจจุบันโรงเรียนขนาดเล็กๆมีถึง 15,000 แห่ง
ปัจจุบันปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ทำให้ความจำเป็นในการหาความรู้ผ่านครูอาจารย์และสถาบันการศึกษามีลดลงมาก เป็นที่คาดหมายว่าในอนาคตแรงงานไทยประมาณ 8-9 ล้านคนอาจต้องถูกทดแทนด้วยระบบออโตเมชั่นและปัญญาประดิษฐ์ แรงงานไทยรุ่นใหม่ต้องใฝ่หาความรู้ที่เป็นวิทยาการสมัยใหม่ให้มากขึ้นกว่าในปัจจุบัน
ปัญหาใหญ่ที่วงการศึกษาไทยกำลังเผชิญอยู่ก็คือคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในระบบโรงเรียนทั่วๆ ไปอยู่ในระดับต่ำผลการสำรวจของธนาคารโลกระบุว่า คะแนนเด็กไทยอยู่ที่ 54 ใน 70 ประเทศย่านเอเชียและแปซิฟิก จริงอยู่เด็กไทยมีกลุ่มที่มีความรู้และมันสมองดีๆ อยู่แต่มีเพียงร้อยละ 25 ถึง 30 ที่เหลืออีกร้อยละ 70 ความรู้ด้อยทำให้ประเทศขาดแรงงานทักษะสูงในอนาคต ส่วนใน 10 ประเทศอาเซียนนั้น ไทยอยู่ในอันดับที่ 6 เท่านั้นอีกประการหนื่งก็คือ ปัจจุบันไทยมีแหล่งผลิตบัณฑิตสาขาครุศาสตร์และการศึกษาศาสตร์มากกว่าอัตราครูที่จะสอบบรรจุถึง 3 เท่าแทนที่จะไปผลิตบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ประเทศกำลังต้องการ
ระบบการศึกษาในระดับโรงเรียนจนถึงระดับอุดมศึกษาของไทยวัดผลจากการท่องจำแต่ขาดการวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบอีกปัญหาก็คือในรอบ 1 ทศวรรษที่ผ่านมาในปี 2554 ถึง 2563 ประเทศไทยใช้งบประมาณทางด้านการศึกษามากมีอัตราเพิ่มถึง 3 เท่าตัวเมื่อนำไปเทียบ 5 ประเทศอุตสาหกรรม คือไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แต่ผลลัพธ์ที่ตอบรับกลับมาไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจนัก
ปัญหาอื่นๆ ก็มีเด็กไทยใช้ระยะเวลาเรียนค่อนข้างมากคือปีละ 1,200 ชั่วโมง ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย-แปซิฟิกใช้เวลาเรียนต่อปีประมาณ 900 ชั่วโมง เด็กไทยส่วนใหญ่ขาดการลงมือปฏิบัติและการทดลองทำให้เด็กไทยส่วนมากขาดทักษะในการเรียนรู้ที่จะนำไปใช้ประยุกต์ที่นำไปใช้ได้ในชีวิตจริง นอกจากนี้ การศึกษาของไทยยังใช้หลักสูตรที่เหมือนๆ กันทั้งประเทศใช้ระบบเน้นเนื้อหาสาระมากเกินความต้องการของเด็กและเยาวชนในขณะที่หลักสูตรการศึกษของประเทศอื่นๆ นั้นจะเน้นในเรื่องทักษะในการเรียนรู้ที่จะนำไปใช้ประกอบอาชีพโดยเฉพาะทางมากกว่า
อีกปัญหาหนึ่งก็คือกระทรวงศึกษาธิการขาดความต่อเนื่องในเชิงนโยบายของรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่ว่าการกระทรวงดังกล่าวในระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนี้ถึง 16-17 คน เฉลี่ยแล้วรัฐมนตรี 1 คน มีเวลาบริหารงานแค่ 1 ปีเท่านั้นทำให้นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการขาดความต่อเนื่องไม่เหมือน สิงคโปร์, เวียดนาม, มาเลเซียและอินโดนีเซีย เรื่องที่จำเป็นต้องทำให้เกิดผลก็คือการปฏิรูปการศึกษาต้องเร่งกระทำอย่างเร่งด่วนก่อนที่จะสายเกินแก้
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี