สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม...
1. เมื่อวานนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา จำคุก 2 ปี คดีที่ก๊วนข้าราชการร่วมกันช่วยลูกทักษิณให้ไม่ต้องเสียภาษีจากการซื้อขายหุ้นชินฯ รวมกว่า 16,000 ล้านบาท
นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร ภายหลังได้ดิบได้ดี ได้เป็น รมช.คลัง ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ส่วน น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ ก็เป็นคนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ร่วมกันกับข้าราชการระดับรองลงมาอีก 3 คน
ช่วยเหลือนายพานทองแท้ หรือโอ๊ค และ น.ส.พินทองทา หรือเอม ชินวัตร ลูกของนายทักษิณ เลี่ยงภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย ในการซื้อหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น เมื่อปี 2549 (ยุครัฐบาลทักษิณ) คนละ 164,600,000 หุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท
คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้จำคุกนางเบญจาและลูกน้องที่เป็นข้าราชการ คนละ 3 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากร ส่วน น.ส.ปราณี จำคุก 2 ปี ฐานเป็นผู้สนับสนุนฯ
เมื่อวานนี้ ศาลฎีกาพิพากษา ชี้ว่า การกระทำของนางเบญจาและก๊วนข้าราชการ ในการตอบข้อหารือประเมินภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ ระหว่างบริษัทแอมเพิลริชกับนายพานทองแท้ ให้กับ น.ส.ปราณีรับทราบนั้น แอบแฝงเจตนาที่จะช่วยให้นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา ไม่ต้องแจ้งรายได้ที่เป็นส่วนต่างการซื้อขายหุ้นที่ราคาต่ำกว่าทุน มูลค่า 15,883,900,000 บาท ซึ่งแนวการตอบข้อหารือนั้นก็ไม่ตรงกับข้อหารือที่กรมสรรพากรเคยวินิจฉัยไว้ อีกทั้งยังฟังได้ว่าการที่น.ส.ปราณีมีหนังสือแจ้งถามข้อหารือมายังกรมสรรพากรก็เป็นการวางแผนที่เตรียมไว้ในการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ปฯให้กับกลุ่มเทมาเส็กประเทศสิงคโปร์ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยวินิจฉัยว่า เจ้าของหุ้นที่แท้จริงคือ นายทักษิณ ชินวัตร
ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 5 คน ถือว่ามีพฤติการณ์ร้ายแรง ไม่สมควรให้รอการลงโทษ
แต่เมื่อพิเคราะห์จากคำให้การของจำเลยที่ 1-4 แล้ว (นางเบญจาและก๊วนข้าราชการ) เห็นว่า ยังมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง เห็นควรลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ2 ปี ส่วนจำเลยที่ 5 (น.ส.ปราณี) คงจำคุกไว้ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
หลังศาลฎีกาพิพากษาให้ลงโทษจำคุกทั้งหมด 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาจำเลยต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด เสียใจ บางคนล่ำลาญาติด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทั้งหมดถูกคุมตัวเข้าเรือนจำต่อไป
2. ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้ชื่อว่าเป็น “ศาลปราบโกง”
เป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นมาสำหรับคดีทุจริตประพฤติชอบของเจ้าพนักงานของรัฐ
นับเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติต่อแผ่นดินอย่างที่สุด
นอกจากคดีนี้ ซึ่งถึงที่สุดแล้ว จบอวสานแล้ว ยังมีคดีสำคัญที่ศาลปราบโกงมีคำพิพากษาแล้ว แต่คดียังไม่ถึงที่สุด ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ เช่น
2.1 คดีแก้สัมปทานมือถือ เอื้อผลประโยชน์ 4.6 หมื่นล้าน แก่บริษัทนายใหญ่
นายสุธรรม มะลิลา อดีตผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท) ในขณะนั้น ดำเนินการแก้ไขสัญญาสัมปทานมือถือครั้งที่ 6 เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายแก่บริษัทเอไอเอส เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2544
เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2561 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ชี้ว่ามีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ พิพากษาจำคุก 6 ปี และให้ชำระเงิน 46,855 ล้านบาท แก่ ทศท พร้อมดอกเบี้ย ขณะนี้ เหลือแต่เพียงผลการพิจารณาคดีในชั้นฎีกา
2.2 คดีธรณีสงฆ์อัลไพน์
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ (อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย) ขณะดำรงตำแหน่งรักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทย ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
ขณะนี้ คดีอยู่ในชั้นฎีกา
2.3 คดีทุจริตค่าโฆษณา อสมท
สรยุทธ สุทัศนะจินดา อดีตพิธีกรข่าวชื่อดัง และพวก
จำเลย ได้แก่ นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด หรือนางชนาภา บุญโต พนักงานจัดทำคิวโฆษณาของ บมจ.อสมท, นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อดีตพิธีกรรายการ “คุย คุ้ยข่าว” ผู้บริหารบริษัทไร่ส้ม และ น.ส.มณฑา ธีระเดช พนักงานไร่ส้ม
ศาลชี้ว่า นางพิชชาภา ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลา จาก บจก.ไร่ส้ม จำนวน 17 ครั้ง ทำให้ บมจ.อสมท เสียหาย 138,790,000 บาท และยังได้เรียกรับเอาเงิน 658,996 บาท จากนายสรยุทธและพวก เพื่อเป็นการตอบแทนที่นางพิชชาภาไม่รายงานการโฆษณา
พิพากษาลงโทษจำคุกนางพิชชาภา เป็นเวลา 20 ปี
ส่วนนายสรยุทธ และน.ส.มณฑา จำคุก 13 ปี 4 เดือน
ขณะนี้ คดีเหลือเพียงคำพิพากษาสุดท้ายในชั้นฎีกา
2.4 คดีพระฟอกเงินทุจริตเงินวัด
“นายเอื้อน กลิ่นสาลี” อดีตพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) อดีตเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และนายสมทรง อดีตอรรถกิจโสภณ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสคดีร่วมกันฟอกเงิน จากการทุจริตจัดสรรเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ปี 2557 ให้กับวัดสามพระยา จำนวน 5 ล้านบาท ในงบส่วนอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมทั้งที่ไม่มีการดำเนินโครงการ
ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุกอดีตพระพรหมดิลก 6 ปี และอดีตอรรถกิจโสภณ 3 ปี
ขณะนี้ คดียังไม่ถึงที่สุด
ทั้งหมด ต้องติดตามว่าสุดท้ายคดีจะจบอย่างไร
ใครจะต้องเข้าคุก เป็นรายต่อไป
กรรมสนองโกง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี