ยกคำกล่าวที่เป็นสุภาษิตของสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ที่ว่า “วินาสกาเล วิปริต พุทธิ” แปลความได้ว่า “ในการวินาศ ความฉลาดก็วิปริต” ขึ้นมาเป็นชื่อเรื่องที่จะพูดในครั้งนี้ ก็เพราะเห็นว่าความพินาศเสียหายของบ้านเมืองที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ มาจากการใช้ความรู้ของคนที่เห็นแก่ประโยชน์ตนและพรรคพวกมากกว่าประโยชน์ของส่วนรวมแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะจากอดีตที่ผ่านมาใกล้ๆนี้ และกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะยังคงมีสืบเนื่องต่อไปอีกจากคนพวกนี้ ซึ่งมีทั้งคนที่กำลังถืออำนาจรัฐ และคนที่เข้ามาเกาะแข้งเกาะขาหาประโยชน์
คนที่กำลังถืออำนาจรัฐส่วนใหญ่เป็นทหาร ส่วนคนที่เข้าไปเกาะแข้งเกาะขานั้นส่วนใหญ่เป็นพวกนักวิชาการ ทั้งที่ได้รับเชิญเข้าไปร่วมงานและที่แสวงหาช่องทางเข้าไปร่วมด้วย พูดได้ว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่มีส่วนสำคัญที่จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น หรือตกต่ำต่อไปอีก จากความรู้และประสบการณ์ที่มีของตน ในการบริหารจัดการบ้านเมือง
คนที่เป็นทหารนั้น ความรู้ทางด้านการเมืองนั้นคงมีน้อยเพราะไม่ได้ร่ำเรียนมาเป็นการเฉพาะ ส่วนพวกที่เป็นนักวิชาการนั้น ถ้าร่ำเรียนมาทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง ก็ย่อมมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการเมืองการปกครองดีกว่านักวิชาการสาขาอื่นๆที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความสำคัญในการใช้ความรู้ที่มีอยู่ไปในทิศทางไหนต่างๆหากที่สำคัญกว่าความรู้ที่มี เพราะขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนั้นๆว่าเป็นคนอย่างไร ใช้วิชาความรู้ไปในทางฉลาดที่ถูกต้องชอบธรรม หรือใช้ความฉลาดไปในทางที่ไม่คำนึงถึงความดีงามใช้เพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวก หรือเพื่อเอาใจคนสั่ง
การใช้ความฉลาดไปในทางที่ไม่คำนึงถึงความดีงามของส่วนรวมหรือความถูกต้องชอบธรรมนี่แหละ ที่เป็นการใช้ความฉลาดอย่างวิปริตบ้านเมืองเกิดวิกฤติและความวินาศจะตามมา อย่างที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ว่าไว้
การทำงานทางการเมืองนั้นไม่เหมือนกับการทำธุรกิจค้าขาย หรือการลงทุนค้าขาย เพราะถ้าลงทุนผิดหรือบริหารจัดการผิด ความเสียหายที่เกิดขึ้น หรือถึงขั้นจะต้องล้มละลายก็ตาม ก็เสียหายหรือล้มละลายแต่ตัวเองเท่านั้น แต่การทำงานทางการเมืองนั้น ถ้าทำการเมืองผิด หรือทำโดยปราศจาก “ความรู้ทางการเมือง” แล้ว ไม่เพียงแต่ตัวเองจะล่มจม หรือหมู่คณะจะล่มจมเท่านั้น หากแต่ยังทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองและประชาชนวินาศล่มจมตามไปด้วยอย่างแน่นอน
การทำงานการเมืองจึงเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นเรื่องของส่วนรวม เป็นเรื่องของประชาชนทุกคน ไม่ใช่เป็นของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้ได้อำนาจรัฐไปถือและใช้อำนาจนั้นถ้าไม่คิดถึงเรื่องดังกล่าวแล้ว ผู้นั้นในบั้นปลายจบไม่สวยสักรายมีตัวอย่างให้เห็นตลอดเวลา
การใช้ “นักวิชาการ” เพื่อช่วยเหลือแนะนำในกิจการบางอย่างก็ดี หรือใช้ให้บริหารจัดการบ้านเมืองก็ดี ผู้ใช้ต้องทำความเข้าใจให้ได้ก่อนในเรื่องของคำว่า “วิชาการ” กับ “นักวิชาการ”
การแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองนั้น ต้องแก้ด้วย “วิชาการ” เท่านั้น เพราะ “วิชาการ” เป็นหลักวิชาที่กำหนดมาจาก “กฎแห่งความจริง” ที่มีอยู่หรือดำรงอยู่ ซึ่งเป็นความจริงที่แน่นอนและถูกต้องตลอดไป
หลักวิชาไม่ได้กำหนดขึ้นจากความเห็นของบุคคลใด หากแต่มาจากกฎแห่งความเป็นจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ และหลักวิชาเป็นเครื่องตัดสินความถูกความผิดของ “นโยบาย” ต่างๆที่กำหนดใช้ ถ้าความเห็นของบุคคลหรือนโยบายขัดแย้งกับหลักวิชาการแล้ว ต้องยึดหลักวิชาเป็นหลัก เพราะนโยบายนั้นกำหนดขึ้นจากความต้องการของมนุษย์ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และไม่แน่นอนว่าจะถูกต้องเสมอไป แต่สำหรับหลักวิชาแล้วถูกต้องเสมอไปสามารถใช้แก้ปัญหาได้อีกด้วย
“นักวิชาการ” ที่ดีจึงต้องเคารพ“หลักวิชา” ไม่ใช่ถือตนว่าเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย หรือเคยร่างกฎหมายโน้นกฎหมายนี้มาแล้ว
หยิบยกเรื่องอย่างนี้มาพูดก็เพราะเห็นว่า บ้านเมืองขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่อง “การปฏิรูปประเทศ” และการแก้ไขกฎหมายต่างๆที่ต่างฝ่ายต่างออกมาพูดหรือตอบโต้กันในประเด็นต่างๆที่ต้องการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงใหม่
เฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นโต้เถียงกันมากโดยเฉพาะจากพวกที่ได้รับแต่งตั้งกับพวก“นักวิชาการ” บางคนนั้น ผุดไอเดียเรื่อง “การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง” ขึ้นมาให้ได้ยินได้ฟังกันอีก หลังจากที่เคยได้ยินได้ฟังมาในบางครั้งบางคราวในอดีต
แม้กระทั่งการผุดไอเดียในเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
เรื่องดังกล่าวนี้จะเป็นความคิดที่ดีและถูกต้องกับบ้านเมืองของเราที่กำลังคิดอ่านกันจะปฏิรูปครั้งนี้อย่างไรนั้น ขอยกไปพูดหรือ “ชำแหละ” กันให้เห็นในตอนหน้าก็แล้วกันนะครับ เพราะเนื้อที่หมดพอดี
(อ่านต่อวันศุกร์)
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี