เหมืองทองคำอัคราสั่นสะเทือนรัฐบาลไทยทำให้รัฐบาลประยุทธ์ 2 อาจต้องควักเงิน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อจ่ายให้บริษัทเอกชนจากออสเตรเลียและกำลังจะมีการชี้ขาดในคณะอนุญาโตตุลาการที่สิงคโปร์ในการประชุมในเดือนมีนาคม 2563 นี้
ปี 2543 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย สมัยที่ 2 ได้เปิดให้สัมปทานการขุดเหมืองทองคำชื่อ “ชาตรี”ในบริเวณรอยต่อ 3 จังหวัด ของ พิจิตร, พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ เป็นจำนวน 5 แปลง มีพื้นที่รวม 1,259 ไร่โดยบริษัท คิงส์เกท คอนโซลิเดเต็ด จำกัด จากประเทศออสเตรเลีย เป็นผู้ชนะประมูลได้สิทธิสัมปทาน พร้อมมอบหมายให้บริษัทลูกในประเทศไทย บริษัท อัคราไมนิ่งจำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจการการขุดเหมืองทองคำแห่งนี้
ตั้งแต่เหมืองทองคำ ถูกก่อตั้งได้สร้างความเจริญขึ้นในพื้นที่ และมีอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในเขตรอบๆเหมือง รวมถึงมีผู้ประกอบการ ร้านค้า และธุรกิจเอกชน ผุดขึ้นมา เพื่อรองรับความเจริญที่หลั่งไหลเข้ามาประเทศไทย ได้ประโยชน์จากการให้สัมปทานครั้งนี้โดยรัฐบาลจะได้ประโยชน์ 3 ทางได้แก่ เมื่อขุดแร่ทองคำขึ้นมาสามารถส่งออกไปขายต่อให้ประเทศอื่น เพื่อนำไปทำเป็นทองคำบริสุทธิ์ต่อไป
- รัฐบาลได้ค่าภาคหลวงที่ผู้ทำสัมปทานต้องจ่ายให้รัฐบาลทุกปี จากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเป็นการสร้างมูลค่า และความเจริญในพื้นที่ รวมถึงสร้างงานให้คนในละแวกใกล้เคียงกับเหมืองทองด้วย แต่หลังขุดทองกันได้ 7 ปี ในปี 2550 มีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบออกมาร้องเรียนต่อรัฐบาล ว่าใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เพราะมีเสียงดังจากการระเบิดเหมืองกันตลอดเวลา ทั้งวัน ทั้งคืน ยิ่งไปกว่านั้น การที่เหมืองแร่เปิดอยู่ใกล้ชุมชน ส่งผลให้แหล่งน้ำตามธรรมชาติถูกทำลาย และปนเปื้อนไปด้วยโลหะหนักจำนวนมาก
ชาวบ้านไม่สามารถใช้น้ำจากธรรมชาติได้ต้องซื้อน้ำกินน้ำใช้รวมถึงเริ่มมีอาการเจ็บป่วย มีผื่นคันตุ่มหนองทางผิวหนังระหว่างที่รัฐบาลตรวจสอบ ทางอัคราได้สัมปทานเพิ่มเติม 9 แปลง ในจังหวัดพิจิตรพื้นที่ 2,466 ไร่ และได้รับสัมปทานจากรัฐบาลอีก 20 ปี ชื่อเหมืองทองคำชาตรีเหนือมีการทำเหมืองใหญ่ก็มีชาวบ้านนับพันได้ผลกระทบทางร่างกายมากมาย
ดร.สมิทธ ตุงคะสมิทธ จากมหาวิทยาลัยรังสิตรายงานผลการตรวจเลือดของชาวบ้าน 1,004 คนที่อาศัยในเขตใกล้เหมือง ในวันที่ 24 สิงหาคม 2557 ปรากฏว่าพบสารแมงกานีสในร่างกายเกินเกณฑ์มาตรฐาน 41.83% และสารไซยาไนด์ในร่างกายเกินมาตรฐาน 5.88% ในวันที่ 16 มกราคม 2558 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการเหมืองแร่ได้สุ่มตรวจ และพบว่ามีชาวบ้านจำนวนหนึ่ง มีโลหะหนักในกระแสเลือด จึงออกคำสั่งให้บริษัท อัครา หยุดประกอบกิจการ 30 วันหลังจากมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ทางอัคราไมนิ่งแก้ไข เรื่องการปล่อยโลหะหนักรั่วไหล โดยเดือนเมษายน 2558 กระทรวงอุตสาหกรรมจ้างบริษัทแบร์ โดแบร์ อินเตอร์เนชั่นแนลผู้เชี่ยวชาญการประเมินเหมืองทองคำมาตรวจสอบที่เหมืองชาตรี ปรากฏว่า ไม่พบไซยาไนด์รั่วไหล
ความขัดแย้งในพื้นที่รุนแรงมากขึ้นกลุ่มชาวบ้านมีทั้งฝ่ายสนับสนุนเหมืองทองคำ และฝ่ายที่ต่อต้านอยากให้เหมืองยุติ จนในที่สุด วันที่ 14 ธันวาคม 2559 ด้วยคำสั่งของคสช. ที่ 72/2559 ได้ประกาศว่าผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำ จะต้องระงับการประกอบกิจการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นการใช้ มาตรา 44 ระงับข้อขัดแย้ง ซึ่งก็มีเสียงวิจารณ์ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย บริษัท อัครา ปลดพนักงาน 265 คน และบริษัทที่เกี่ยวข้อง 450 คน สั่งเลิกจ้าง และหยุดการทำงานของเครื่องจักรในการผลิตทั้งหมด ก่อนจะหยุดดำเนินกิจการอย่างเป็นทางการ วันที่ 1 มกราคม 2560
หลังจากปิดเหมืองบริษัทคิงส์เกทเจ้าของสัมปทานจากออสเตรเลีย ขอเจรจารัฐบาลไทยเพื่อยื่นข้อเสนอในปัญหาครั้งนี้แต่ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่สามารถตกลงกันได้วันที่5 พฤศจิกายน 2560 บริษัท คิงส์เกทใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการ กับไทย เรียกร้องให้มีการชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากมาตรการของไทย เป็นจำนวน 750 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 22,672ล้านบาท เนื่องจากการปิดเหมืองเป็นการละเมิดข้อตกลงการค้าเสรีโอกาสชนะคดีของคิงส์เกท คือพิสูจน์ให้เห็นว่า บริษัทตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด และโดนสั่งให้ยุติกิจการอย่างไม่เป็นธรรม
ข้อตกลงระบุว่า เมื่อรัฐบาลสร้างผลกระทบใดๆ ต่อนักลงทุนของประเทศภาคี ต้องจ่ายค่าชดเชยด้วยโอกาสชนะคดีของฝั่งไทยตามกรอบขององค์การการค้าโลกระบุว่า รัฐบาลไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยกับสมาชิกภาคีได้ถ้าหากมีความจำเป็น เพื่อปกป้องชีวิต สุขอนามัยของมนุษย์ สัตว์ และพืช รัฐบาลไทยจะจ่ายค่าเสียหาย 22,672 ล้านบาท ให้ฝรั่งออสเตรเลีย หรือไม่เดือนมีนาคมนี้ รู้คนตัดสินใจสู้หรือถอย คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย, นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรมและอีกคน คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี