1. ข้างบนนั้น คือ ข้อเรียกร้องของสถาบันทิศทางไทย ที่มีต่อผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่ปล่อยให้มีการดัดแปลงตราสัญลักษณ์ ล้อเลียน เสียดสี จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างโจ่งแจ้ง
ช่างน่าอายแทนศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ที่รู้ทันอุบายต่ำทราม เอาคนนอกและนักศึกษาที่ไม่ใช่องค์กรทางการของมหาวิทยาลัยมาห่มโลโก้ธรรมศาสตร์ กระทำการอันชั่วร้าย สร้างความแตกแยกในสังคม ทำลายเกียรติศักดิ์ของมหาวิทยาลัยที่รู้ผิดชอบชั่วดี ช่ำชองและแม่นยำในทางการเมือง ไม่ใช่แค่ท่องจำคำที่เขาบอกมาพูดต่อแบบไร้เดียงสาบนเวทีการเมืองสารพัดเรื่อง ตั้งแต่เรื่องประชาธิปไตย การพัฒนาประเทศ การเสียภาษี ไปจนถึงเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์
2. เลิกอ้างเถอะ เลิกชักชวนผู้คนออกมาชุมนุม โดยอ้างว่าประท้วงรัฐบาล แก้รัฐธรรมนูญ ฯลฯ
ตอนแรก อาศัยป้ายข้อความจาบจ้วง ดูหมิ่น ล่วงละเมิดสถาบัน อ้างว่าไม่เกี่ยวกับแกนนำ
วันนี้ ชัดเจน วางแผน ลงทุน เตรียมการ จัดทำ นำเสนอ บนเวทีหลัก และโดยผู้ปราศรัยหลัก
นี่คือการชุมนุมเพื่อบ่อนทำลายพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง
โดยฐานความคิดที่รับเชื้อมาจากคนกลุ่มเดียวที่มีอคติต่อสถาบันเบื้องสูง บางคนหนีคดีไปต่างประเทศ บางคนถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หมดอนาคตทางการเมือง แล้วทั้งหมด พยายามจะทำลายอนาคตของประเทศไทยโดยใช้เด็กและเยาวชน นักเรียนนักศึกษาออกหน้า เป็นเกราะกำบังให้กับแผนร้ายของตัวเอง
3. โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี...
ใครลงทุนจัดหาจัดการอุปกรณ์แสง สี เสียง เวที พรีเซนเตชั่น ฯลฯ เขาย่อมหวังผลที่ตามมา
ใครคอยช่วยเหลือ หนุนหลัง อ้างว่าจะช่วยประกัน จะช่วยเรื่องคดี ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องยำเกรงกฎหมาย ไม่ต้องเกรงใจผู้ใด หากจะต้องหนีไปต่างประเทศก็มีเส้นสายคอนเนคชั่น
ใครคอยให้ท้าย ยุยง ส่งเสริม ป้อยออย่างขี้ขลาด เพราะไม่กล้าจาบจ้วงเอง อาศัยปากลูกศิษย์และคนที่เขาหลงคิดหลงนับถือตัวเองให้ออกหน้าแทน เพราะรู้ว่าฝ่ายรัฐไม่ต้องการดำเนินคดีกับเยาวชน (หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ) คนที่ใช้วิธีเยี่ยงนี้ มันโคตรสารเลวแค่ไหน
เขาต้องการอะไร? ต้องการให้เกิดสถานการณ์ใด เพื่อใคร ก็เพื่อหวังตัวเองและพวกพ้องจะได้แย่งชิงอำนาจ ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติส่วนรวมเลย
4. พูดกันตามตรง บรรดาผู้ที่ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวจาบจ้วงนั้น ก็ล้วนแต่เป็นกลุ่มผู้สนับสนุนและแนวร่วมอดีตพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ที่กระทำผิดเองจนถูกยุบพรรคไปทั้งสิ้น
ลองไปเดินถามในที่ชุมนุมดูได้
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย ที่จะเห็นนักศึกษาจำนวนหนึ่งออกมาชุมนุมกัน เนื่องจากเป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองดังกล่าวนั่นเอง และดูเถิด ข้อเรียกร้อง ความคิดอ่าน ประเภทท่องจำก๊อปปี้ต่อมาจากแกนนำที่อนาคตดับไปแล้วทั้งสิ้น เพียงเพราะไม่พอใจที่พรรคที่ตัวเองถูกยุบและถูกป้อนข้อมูลโดยคนที่เสียผลประโยชน์ พ่วงอคติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ผลที่ได้จึงออกมาอย่างที่เห็น
การคิดต่างและแสดงออก สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย และไม่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
และเมื่อเรียกร้องไปแล้ว ไม่ใช่ว่าคนทั้งประเทศจะต้องเห็นด้วย สนับสนุน ยึดถือว่าข้อเรียกร้องของตัวเองเท่านั้นถูกต้อง ดีเลิศ ฉลาด ให้มันจบที่รุ่นเรา ส่วนคนกลุ่มอื่นๆ ประชาชนกลุ่มอื่นๆ แม้แต่กลุ่มที่ลงคะแนนให้พรรคอื่นที่ไม่ใช่พรรคพวกของตนคือพวกไดโนเสาร์ พวกสลิ่ม ต้องเอาไปรมแก๊สให้ตาย ฯลฯ
ลองคิดดู ถ้าประชาชนกลุ่มที่สนับสนุนพรรคอื่นๆประชาชนที่ลงประชามติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญบวกคำถามพ่วง ประชาชนที่จงรักภักดี ฯลฯ หากจะออกมาเรียกร้องบ้าง ก็ย่อมจะมีจำนวนมหาศาลกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า แล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร? จะเข้าทางคนที่มันต้องการเห็นความวุ่นวายหรือไม่?
5. ในบรรดาประเด็นที่นำมาปลุกระดมและต่อยอดกันนั้น ล้วนแต่จำขี้ปากของนักการเมืองขี้แพ้มาทั้งสิ้น
ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คKittitouch Chaiprasith แจกแจกอธิบายบางประเด็น ดังนี้
“เลิกอ้าง/เลิกโทษสถาบันกษัตริย์ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองเสียที
ข้อกล่าวหาของอานนท์ต่อสถาบันกษัตริย์ - ก่อนที่นายอานนท์ นำภาจะโดนจับนั้น เขาได้กล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า – กำลังขยายอำนาจจนเกินขอบเขต – เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย โดยการอ้าง 4 เรื่องสำคัญคือ 1. การแก้ไข รธน.ในรายละเอียดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ 2. การแก้ไข กฎหมายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ปี 2560 ในเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย 3. พ.ร.ก.ย้ายบางส่วนกองทัพเป็นของพระมหากษัตริย์ 4. พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563
อานนท์และพวก ยกประเด็นทั้ง 4 ข้อขึ้นมากล่าวหาว่า พระมหากษัตริย์กำลังเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตย และไทยจะกลายเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หากปล่อยไว้แบบนี้
ข้อเท็จจริง
1. เนื้อหาหมวดพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญเบื้องต้น ไม่มีอะไรเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประชาชน เนื้อหาแทบทั้งหมดเป็นเรื่องภายใน เช่น การตั้งผู้สำเร็จราชการ การปฏิญาณตนองคมนตรีไม่ต้องเป็นราชการ ฯลฯ
และมาตรา 5 ที่ระบุว่าหากมีปัญหาทางการเมืองแล้วแก้ไขไม่ได้ พระมหากษัตริย์สามารถใช้อำนาจในการแก้ไขตามราชประเพณีได้ ซึ่งข้อนี้มีมาตั้งแต่ รธน.ปี 2540 ในฉบับที่หลายคนชอบอ้างว่าเป็นฉบับประชาชน และในปี 2535 พฤษภาทมิฬ ก็เห็นได้ชัดว่าในหลวง ร.9 ทรงใช้อำนาจยุติความขัดแย้งระหว่างการเมืองสองฝ่าย ทำให้คนไทยไม่ต้องเข่นฆ่าทำร้ายซึ่งกันและกัน
2. เรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นอีกเรื่องที่ตั้งแต่เปลี่ยนรัชกาลแล้วมีความชัดเจนที่สุดตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเลย คือ แต่เดิมหลัง 2475 คณะราษฎรแยกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้มีสถานะเหมือนทรัพย์สินแผ่นดิน และไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งกลายมาเป็นจุดอ่อนให้บางกลุ่มโจมตีเรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ต้องเสียภาษี (ในขณะที่ทรัพย์สินส่วนพระองค์เสียอยู่แล้ว)
เมื่อมีการเปลี่ยนรัชกาล ในหลวง ร.10 ทรงมีพระราชประสงค์ให้แก้ เพื่อความชัดเจน โดยยุติสถานะทรัพย์สินแผ่นดิน แล้วแก้กฎหมายในทรัพย์สินนี้ต้อง “เสียภาษี” ให้แผ่นดิน ดังเช่นกิจการเอกชนอื่นๆ ส่งผลให้ประเทศชาติได้ประโยชน์จากภาษีดังกล่าวอีกจำนวนไม่น้อย
3. พ.ร.ก.โยกย้ายกำลังพล ที่มีประเด็นเรื่องพรรคอนาคตใหม่ ยกมือคัดค้านอยู่พรรคเดียวในสภา (ยกเว้น สส.บางคน ที่ภายหลังโดนขับไล่พ้นพรรค) เมื่อปีที่แล้วนั้น เนื้อหา พ.ร.ก.เป็นการโยกเอา “ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์” จากกรมทหารราบที่ 1 และ 11ซึ่งกระจายอยู่ มาอยู่ในหน่วยรักษาพระองค์แทน โดยไม่มีการไปของบเพิ่ม หรือเพิ่มกำลังพลแต่ประการใด และหน้าที่ของทั้งสองหน่วยนี้ก็คือรักษาพระองค์อยู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องดีเสียอีกที่ทำให้เกิด “บูรณาการและลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงาน” ในการบริหารราชการแผ่นดิน
4. พ.ร.บ.งบประมาณที่เกี่ยวกับสถาบันฯ จำนวน 3 หมื่นล้าน ต้องแยกเป็น 2 ประเด็น
อันแรก งบหลักจำนวน 1.9 หมื่นล้าน เพื่อรักษาความปลอดภัย ดูแลและเทิดพระเกียรติตามงานพิธีหรือการรับแขกบ้านแขกเมืองของประมุขของรัฐนั้น มีในทุกประเทศ (และมีมาตลอดอยู่แล้วในทุกรัฐบาล ทุกสมัย ก็ไม่เคยเห็นมีประเด็นอะไร ไม่ว่าจะยุคชวน บรรหาร ทักษิณ สมัคร อภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ และคนก่อนๆ หน้านี้)
อีกส่วนที่เป็นงบเพื่อให้ส่วนราชการนำไปใช้ในการเทิดพระเกียรติ อันนี้สามารถถกเถียงในเรื่องความเหมาะสมได้ “ตามกลไกของรัฐสภา” เรามี สส. เรามีผู้แทนตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ถกเถียง แย้ง และปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมได้ในสภาฯ แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่อง “ขยายอำนาจจนเกินขอบเขต” ดังที่อานนท์ และพวกพ้องนำมากล่าวหาสถาบันกษัตริย์แต่ประการใด
อย่ากล่าวหาสถาบันฯ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือล้มรัฐบาล
*** หากอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ดีขึ้น ให้สง่างามขึ้น ก็ทำไปครับ หารือและต่อสู้ตามกระบวนการ วันนี้เรามี สส. ตามระบอบประชาธิปไตย เราก็ต้องใช้กระบวนการสภาฯ ในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกลไกในสภาเพื่อให้ได้ข้อยุติที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันและเดินหน้าประเทศต่อได้
*** แต่อย่าเอาสถาบันกษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือ แล้วก็หยุดการกล่าวหา กล่าวโทษสถาบันกษัตริย์ได้แล้ว สถาบันกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ปี 2475 แล้ว ทุกวันนี้การบริหารราชการแผ่นดิน ก็ผ่านจากสภาผู้แทนราษฎร การเข้ากฎหมายก็ผ่านทางกรรมาธิการในสภาฯ ดังนั้น เลิกใช้มุขป้ายสีสถาบันกษัตริย์ให้เป็น “ปีศาจร้าย” แล้วชูตัวเองเป็นฮีโร่ผู้ปลดปล่อยเสียทีเถอะครับ
ปล.การดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ เป็นเรื่องถกเถียงพูดคุยกันได้ แต่ต้องกระทำบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ และการเล่าความจริงที่ครบถ้วน ไม่ใช่การปั่นจากความจริงเสี้ยวเดียวหรือเล่นวาทกรรมทางการเมือง และทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นรอยัลลิสท์ หรือพูดแต่เทิดทูนสถาบันฯ แต่ทุกการวิเคราะห์วิพากษ์นั้น ควรจะอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและเหตุผลเป็นที่ตั้งเสมอ”
6. หยุดจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
ขอให้ดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดกับคนที่ยุยงส่งเสริม ต่อท่อน้ำเลี้ยง กลุ่มทุนนักการเมือง ที่มุ่งหมายเปลี่ยนแปลงการเมืองนอกวิถีทางตามรัฐธรรมนูญ ขี้ขลาดตาขาวและชั่วร้ายที่พยายามใช้เยาวชนนักศึกษาเป็นเครื่องมือ
ให้มันจบที่คุกเท่านั้น!
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี