ขณะนี้สังคมไทย มีปัญหาเกี่ยวกับการกิน
“คนกลุ่มหนึ่งมีปัญหาว่า วันนี้จะกินอะไร?”
“คนอีกกลุ่มหนึ่งมีปัญหาว่า วันนี้จะมีอะไรกิน?”
“คนอีกกลุ่มหนึ่งมีปัญหาว่า จะกินอะไรที่พิสดารแปลกแตกต่างจากคนอื่น?”
“ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งมีปัญหาว่าจะกินอะไรโดยที่ไม่มีใครรู้ ใครเห็น?”
ข่าวคราวโด่งดังที่ปรากฏ “หม่อมถนัดแดก” ผู้ทำสื่อออนไลน์แบบที่เรียกว่า YouTuber ได้ถ่ายทำและโชว์ให้เห็นการเตรียมเลี้ยงไก่เพื่อจะนำมากิน โดยนำไก่ที่ยังมีชีวิตไปขุดหลุมฝังตัวไก่เหลือแต่หัวโผล่ขึ้นเหนือดิน ให้อดข้าวอดน้ำแต่หยอดน้ำกะทิให้กินเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ จนขนร่วงเกือบหมดทั้งตัว นำมาเชือดแล้วจึงไปย่างกินโชว์ อ้างว่าจะได้เนื้อที่นุ่มอร่อย
การกระทำดังกล่าว แม้จะกระทำต่อสัตว์ที่เลี้ยงเพื่อไว้กิน แต่ก็ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ว่าเป็นการเลี้ยงสัตว์โดยทรมาน เป็นการทารุณกรรม สัตว์ ยิ่งกว่านั้นการฆ่าไก่เพื่อเป็นการค้าจะต้องได้รับใบอนุญาตที่ผ่านการตรวจถึงสุขลักษณะวิธีการฆ่าที่เหมาะสม
เหล่านี้เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย ควรจะต้องได้รับโทษทางอาญา ทั้งถูกปรับและอาจจะถูกจำคุกอีกด้วย
รายการ “หม่อมถนัดแดก” จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นรายการที่ไม่สร้างสรรค์ การนำสัตว์มาฆ่ากินก็เป็นการเบียดเบียนชีวิตอื่นอยู่แล้ว แต่การทรมานก่อนที่จะฆ่ากินเพื่อความแปลกความพิสดาร จึงเป็นสิ่งที่สังคมไม่ควรยอมรับ
ขณะที่คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า การกินสัตว์ที่อยู่ในสภาวะความเครียดจะส่งผลร้ายกับผู้กิน เพราะก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่าจะปล่อยสารแห่งความเครียด ความกลัว แม้กระทั่งการกินไข่ไก่ก็ควรจะกินจากไก่ที่เลี้ยงปล่อยให้วิ่งหรือเดินได้ ไม่ใช่เลี้ยงแบบจับขังกรง เรียกว่าไข่ไก่จากแม่ไก่อารมณ์ดี
คำว่า “หม่อมถนัดแดก” ก็เป็นการประดิษฐ์คำที่ไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นชื่อร้านอาหาร ชื่อรายการ เพราะเป็นคำหยาบคายไม่สุภาพ การตั้งชื่อลักษณะนี้มีเจตนาเพียงให้เห็นความแปลก แต่ไม่สนใจความเหมาะสมและผลกระทบที่สร้างให้สังคมนิยมความหยาบคาย
คนที่มักง่าย หวังจะได้รับความสนใจ มียอดติดตามสูง หรือเป็นที่แปลกใจกล่าวขานมักจะตั้งชื่อ ที่ไม่สนใจผลกระทบต่อสังคม เช่น “ปังเว้ย..เฮ้ย” หิ้วหวีไป หิ้วหวีมา” “ปั่นไปเรื่อย” “ติดนม เน้นนม” ปังกลม นมแบน” “นวลนม” “โนตม นมสด” “นมคับ”“พอแดกได้” “เย็นตาโฟตอแหล” “ร้านส้มตำผู้ชายขายหอย” เป็นต้น
ในความเป็นจริง เราเคยได้ยินว่ามีผู้นิยมกินเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ที่ไม่คำนึงถึงการทรมานสัตว์ เกิดในต่างประเทศซึ่งไม่ควรจะนำมาเป็นแบบอย่าง เช่น
การกินตับห่าน ตับเป็ด ที่เรียกว่าตับอ้วนหรือ “Foie gras” เป็นการเลี้ยงห่านหรือเป็ดโดยพยายามยัดเยียดอาหารให้กินเกินความจำเป็นอย่างมาก กรอกอาหารวันละหลายครั้ง จนกระทั่งตับโตมีไขมันไปพอกอยู่ที่ตับ แล้วจึงฆ่าห่านฆ่าเป็ด นำตับที่ประกอบด้วยไขมันจำนวนมากมาทอดกิน อ้างว่านุ่มนวลละมุนลิ้น
การเลี้ยงวัวโดยให้กินแต่เบียร์ จนทำให้วัวเป็นโรค เนื้อวัวขาดกล้ามเนื้อ เมื่อนำมาเชือดอ้างว่าจะได้เนื้อที่นุ่มเข้าปากก็ละลายฉับพลันในปาก
การกินปลาดิบโดยแล่เนื้อปลาออกมาวางข้างจาน โดยที่เก็บบริเวณท้องไว้ให้ปลายังมีชีวิตนอนอยู่กลางจาน เป็นเครื่องหมายว่าปลาสดจริงๆ
การเปิบสมองลิงที่ยังมีชีวิต โดยจับลิงวางอยู่กลางโต๊ะ และตักสมองลิงออกมากิน
นอกจากนี้ยังมีการนำสัตว์เป็นๆ มาใส่ในน้ำร้อน ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง ปู หรือปลา
หากสังคมไทยไม่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม และไม่ดำเนินคดีกับรายการชวนชิมดังกล่าว ก็จะยิ่งเผยแพร่พฤติกรรมการกินที่ไม่เอื้อและทารุณต่อสิ่งมีชีวิต
การหาอยู่หากินที่ขาดความพอดี อาจจะพิจารณาเปรียบเทียบได้กับการที่พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ออกบิณฑบาตแต่เช้าตรู่จนถึงสายบ่ายคล้อย การเร่ไปยืนปักหลักรับบาตรบริเวณที่ขายอาหาร การนำอาหารที่ได้จากการรับบาตรไปเวียนเทียนให้พ่อค้าแม่ค้าขาย การบิณฑบาตด้วยการนั่งรับบาตรในรถยนต์ จึงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมสะท้อนความเขลาความไม่รู้ ของผู้ที่บวชโดยไม่เรียน ไม่ศึกษา
จนมหาเถรสมาคมต้องออกกฎเหล็ก ๖ ข้อ เพื่อคุมพระสงฆ์กรณีบิณฑบาตที่ไม่เอื้อต่อพระธรรมวินัย
๑) การออกบิณฑบาตของพระภิกษุสามเณร
จะต้องออกบิณฑบาตเวลาได้รับอรุณ และไม่ควรเกินเวลา ๐๘.๐๐ น.
๒) การบิณฑบาตโดยยืนหรือนั่งประจำที่ ตามร้านขายอาหาร หรือบิณฑบาตโดยเร่ร่อนไปตามสถานที่ต่างๆ นอกพื้นที่บิณฑบาตแห่งวัดตนไม่สมควรกระทำ
๓) การบิณฑบาต ด้วยการนั่งรับบาตร หรือนั่งในรถรับบาตรไม่สมควรกระทำ
๔) สถานที่ที่เป็นแหล่งอโคจร พระภิกษุไม่ควรเข้าไปบิณฑบาต
๕) การบิณฑบาตไม่ควรสูบบุหรี่ สวมรองเท้า พูดคุยกันโดยไม่มีเหตุจำเป็น ถ่ายเทอาหาร หรือทิ้งดอกไม้ให้กับเจ้าของร้านอาหาร หรือแย่งกันรับของปัจจัย
๖) เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้ว ไม่ควรยถา...สัพพี
พระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว สะท้อนว่าไม่เข้าใจพุทธบัญญัติที่กำหนดให้พระสงฆ์ต้องออกไปบิณฑบาต คือ ออกไปขออาหารจากชาวบ้านว่าเป็นการเตือนผู้ที่บวชให้อ่อนน้อมถ่อมตน ให้รู้ว่าตนมิได้สูงส่งอะไร แต่ต้องขออาหารเพื่อมากิน เป็นการเตือนผู้บวชเป็นพระไม่ให้หลงตัวแม้จะมีคนกราบไหว้หรือมีสถานะก่อนบวชที่สูงส่งขนาดไหนก็ตาม การบิณฑบาตจะต้องไม่มากเกินที่พอฉัน มิให้เก็บสะสมอาหาร ไว้ฉัน การออกบิณฑบาตจึงเป็นการเตือนตนเองของพระภิกษุที่สำคัญ
อย่างไรก็ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิได้ห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์ ทั้งนี้เพราะเห็นว่าพระคือผู้ขอทาน ผู้ให้ทานจะมีข้าวปลาอาหารอย่างไรก็ไม่ควรจะต้องกำหนดให้เป็นที่เดือดร้อนต่อสังคมชาวบ้าน หาก
ชาวบ้านกินมังสวิรัติคือไม่กินเนื้อสัตว์ พระก็ควรจะกินมังสวิรัติด้วย
การที่มหาเถรสมาคมออกกฎห้ามพระเมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้ว ไม่ควรยถา..สัพพี โดยทันทีในที่รับบาตร เข้าใจว่าไม่ต้องการให้เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างอาหารกับการให้พร ผู้ใส่บาตรควรเป็นผู้ให้ผู้สละเพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนียว
กฎของมหาเถรสมาคมดังกล่าว จึงเป็นไปตามพุทธบัญญัติที่กำหนดให้การยถา..สัพพี กระทำในที่ฉันอาหาร ซึ่งเรื่องนี้มีผู้เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าเมื่อญาติโยมอยากได้พร พระก็ไม่ควรขัดศรัทธาพวกเราชาวพุทธน่าจะมีการสำรวจดูว่า พระภิกษุที่อยู่ในชุมชนของเรา มีรูปใดบ้างที่ไม่ออกบิณฑบาต โดยตั้งโรงครัวให้ญาติโยมมาทำอาหารในวัดเพื่อเลี้ยงชีพ เสมือนครอบครัวของชาวบ้านทั่วไป หรือมีพระภิกษุรูปใดที่ออกบิณฑบาตหวังจะได้สะสมอาหาร หรือเปลี่ยนเป็นเงินทองเพื่อสะสมบ้างหรือไม่
จะเห็นได้ว่า การกินอยู่อย่างพอเพียงและเพียงพอ ทั้งพระและฆราวาสเป็นของจำเป็นที่จะต้องมีสติปัญญา ระลึกรู้ถึงความเหมาะสมที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่นที่มากเกินจำเป็น
มิเช่นนั้น ก็จะสะสมความอยากได้ อยากกินอยากสะสม แม้กระทั่งเงินบำรุงวัด เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์วัด หรือเพื่อสนับสนุนการเรียนปริยัติธรรม ก็นำเงินมาเก็บกินเป็นของส่วนตัว ซึ่งเกิดเหตุมาแล้วทั้งญาติโยมเจ้าหน้าที่สำนักงานพุทธศาสนาฯ และพระเถรชั้นผู้ใหญ่หลายรูปต้องคดีความ ถูกจับสึก บางรูปถึงกับหลบหนีอาญาไปอยู่ยุโรป
ทั้งหมดนี้ คือ การกินและบิณฑบาตที่ไม่มีสติ และปัญญา
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี