ต้องยอมรับความจริงก่อนว่าเป็นเพราะสังคมไทยหย่อนยานสามัญสำนึก และมาตรการทางสาธารณสุขที่เคยท่องจำลงหันไปเล็งแต่ประโยชน์ส่วนตนมากขึ้น ทำให้การแพร่ระบาดของ “โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จึงแตกต่างไปจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในครั้งแรกเมื่อปลายปี 2562 และปี 2563 ที่ครั้งนั้นเป็นการต่อสู้วิกฤติท่ามกลางความสามัคคีในอาการตื่นตระหนกไม่น้อย จนเกิดลักษณะ “ทีมไทยแลนด์” เป็นที่ชื่นชมของประชาคมโลกที่ยกย่องการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้วิกฤติครั้งนั้นสังคมไทยจะแลกมาด้วยความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจของประชาชนในสังคมไทยและวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศจากการตัดสินใจ “เจ็บแล้วจบ” ของรัฐบาลทหารแก่จากคำสั่ง “ล็อกดาวน์” ประเทศ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากนักการเมืองฝ่ายค้านจนเกิดวาทกรรมตอบโต้กันทั้งในและนอกสภา แล้ววิกฤตินั้นสังคมไทยก็ก้าวข้ามผ่านมาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเตรียมพร้อมที่จะจูงเดินไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นคาดหวังที่เข้มแข็งว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะดีขึ้นช่วงไตรมาส 2 ของปี 2564
แต่แล้วในปลายปี 2563 สังคมไทยก็เจอวิกฤติ ครั้งใหม่จากความหย่อนยานภาครัฐและความเห็นแก่ตัวของเอกชนจากการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าวและลักลอบเปิดบ่อนการพนัน ทว่าด้วยความมุ่งมั่นของรัฐบาลและกองทัพนักรบชุดขาวที่เข้มแข็งทุ่มเทดำเนินมาตรการล็อกดาวน์และซีลพื้นที่สุ่มเสี่ยงเพื่อจำกัดการแพร่ระบาดทำให้สังคมไทยสามารถก้าวข้ามวิกฤตินั้นมาได้อีกครั้ง แม้ต้องแลกกับลมหายใจของ “ฮีโร่เสื้อกราวน์อย่างนายแพทย์ปัญญาหาญพาณิชย์พันธุ์” แพทย์ที่ติดเชื้อโควิด-19 จากการทุ่มเทรักษาผู้ติดเชื้อที่จังหวัดมหาสารคาม
อย่างไรก็ดีในวิกฤติครั้งนี้ ทำให้สังคมไทยได้รับรู้เห็นพฤติกรรม…สันดานนักการเมืองรุ่นใหม่ที่สำรอกสำรากหาลัทธิประชาธิปไตยที่รู้เพียงท่องจำความหมายมาบอกเล่ามากกว่าเข้าใจนิยามที่แท้จริงแต่ทุรนทุรายขันอาสาสร้างชาติสร้างสังคมยุคใหม่ที่ลดความเหลื่อมล้ำ
ประมุขสามตะกร้า “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพลพรรคจากพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า” ที่ประสบความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้ง 1 ในหัวข้อลัทธิประชาธิปไตยในทุกสนามเลือกตั้ง อดเข้ามาบริหารประเทศอดบริหารท้องถิ่น อดเปลี่ยนสังคมครอบครัวในชนบท เมื่อได้จังหวะและโอกาสก็นำหนังขายยาโบราณที่ผู้ร้ายฝ่ายอธรรมมักชั่วชาติซาดิสต์กลั่นแกล้งรังแกใส่ความฝ่ายธรรมะผู้เป็นพระเอกในหนังขายยาให้ “ทหารแก่และหมอหนู” ผ่านช่องทางทางสังคมโซเชียล วาดหวังให้มวลชนฝ่ายธรรมะกลับใจตีตัวออกห่าง โดยลืมไปว่าแท้ที่จริงแล้วสันดานที่แสดงก็แค่ถ่มน้ำลายรดฟ้าให้ชาวประชาเวทนาสมเพชมากขึ้นเท่านั้น เพราะยุคนี้หาคำพูดเสียงผายลมย้อนกลับมาฟังได้ไม่ยาก
“ธนาธร-วิโรจน์และพลพรรค” รู้ไหมว่า “สมเด็จพระสังฆราชประทานพระคติธรรมไว้ว่า “ถ้าคิดได้ ให้ช่วยคิด ถ้าคิดไม่ได้ให้ช่วยทำ ถ้าทำไม่ได้ ให้ร่วมมือ ถ้าร่วมมือไม่ได้ให้กำลังใจ แม้ให้กำลังใจก็ไม่ได้ ให้สงบนิ่ง” ฉะนี้แล“ท่านทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้น” จึงพึงสำเหนียกศึกษาให้เข้าใจในธรรมคตินี้ สะสมบุญบารมีเผื่อผลบุญนั้นจะนำพาให้ก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารประเทศอย่างที่ฝันถ้าวันนั้นมาถึง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี