ในอดีตคนไทยมักได้ยินว่าสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 คือ แดนสนธยา ส่วนปัจจุบันสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ยังคงเป็นแดนสนธยาต่อไปอีกหรือไม่ คนทำงานภายในสถานีโทรทัศน์ช่องดังกล่าวตอบได้ดีที่สุด แต่คำว่าแดนสนธยาภายในช่อง 9 ก็ดูเสมือนจะบางเบาและสร่างซาลงไปมากแล้ว เพราะไม่ค่อยได้ยินคำว่าช่อง 9 เป็นแดนสนธยาเป็นประจำทุกวี่ทุกวันเหมือนเมื่อก่อนนี้
แต่ปัจจุบันสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งได้รับฉายาว่า แดนลี้ลับ คือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส สาเหตุที่ได้รับฉายาเช่นนี้เพราะภายในสถานีช่องนี้มีความลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนมากมายจนไม่ผิดกับเขาวงกต หลายคนถึงกับบอกว่า คนทำงานในไทยพีบีเอสน่าจะไม่ต่างไปจาก Alice in wonderland ขณะที่บางคนเรียก Labyrinth แต่คนในไทยพีบีเอสด้วยกันเองจำนวนไม่น้อยเรียกองค์กรแห่งนี้ว่า เมืองลับแล บ้างก็เรียกว่า เมืองของการเล่นพรรคเล่นพวก และยังมีอีกสารพัดชื่อที่หลายคนตั้งให้องค์กรนี้ ส่วนคนภายนอกที่ไม่ปลื้มไทยพีบีเอสก็ให้ชื่อว่า ทีวีช่องที่คอยแซะรัฐบาลตลอดเวลา และช่องที่รายงานข่าวผิดพลาดเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งสมญานามต่างๆ นานาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มาจากพฤติกรรมของไทยพีบีเอสทั้งสิ้น ดังปรากฏเป็นเรื่องเป็นราวให้สาธารณชนได้ประจักษ์เสมอมา
สำหรับผู้เขียนนั้น ได้รับข้อมูลเรื่องทุจริตภายในไทยพีบีเอส คำร้องเรียนต่างๆ หลักฐานที่ชัดเจน และเอกสารที่เชื่อถือได้ รวมถึงจดหมายที่ไม่ลงชื่อ ซึ่งส่งให้ผู้เขียนเป็นประจำ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการได้รับโทรศัพท์จากคนไทยพีบีเอสจำนวนมิใช่น้อยที่โทรฯ ไปเล่าเรื่องราวพิสดารพันลึกอีกมากมายภายในองค์กรแห่งนี้ ต้องบอกว่าหลายเรื่องมีมูล น่าเชื่อถือมาก เพราะสิ่งที่ได้รับการบอกเล่าตรงกับพฤติกรรมของคนที่ถูกระบุชื่ออย่างครบถ้วนชนิดที่ว่าเกิน 100 เปอร์เซ็นต์
มีจดหมายฉบับหนึ่งจากคนไทยพีบีเอส ถูกส่งถึงผู้เขียนเมื่อไม่นานมานี้ จดหมายดังกล่าวมีความยาวสามหน้ากระดาษเอสี่ พิมพ์ด้วยตัวอักษรขนาด 14 จ่าหัวกระดาษว่า เรียนคณะกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส)
จดหมายนี้ถูกส่งถึงผู้เขียน แต่ไม่ทราบว่าถูกส่งไปยังคณะกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอสด้วยหรือไม่ เนื้อหาโดยสรุปคือบอกเล่า ตอกย้ำว่าไทยพีบีเอสเป็นองค์กรแห่งการเล่นพรรคเล่นพวก โดยยกตัวอย่างเรื่องที่คนไทยพีบีเอสรู้กันทุกคนคือ การขึ้นสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรมนุษย์ของคนผู้หนึ่ง (อันที่จริงเขาระบุชื่อ และชื่อสกุลมาชัดเจน) โดยบรรยายว่าคนผู้นั้นมีลักษณะการทำงานเช่นไร เป็นอะไรมาก่อนจะได้รับตำแหน่งใหม่ มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งใหม่หรือไม่ และที่สำคัญคือเป็นน้าเป็นหลานกับใครบางคนในไทยพีบีเอสด้วย (ซึ่งประเด็นน้าหลานนี้ ผู้เขียนถามกลับไปยังคนในไทยพีบีเอสว่าจริงหรือ ก็ได้รับคำตอบว่าจริง เพราะได้ยินเขาทั้งสองเรียกกันเช่นนั้นเรื่อยมา แต่เพิ่งจะมาใช้สรรพนามว่าพี่ในช่วงหลัง หลังจากถูกจับตามองถึงความสัมพันธ์ส่วนบุคคลลึกซึ้ง)
ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่คนไทยพีบีเอสทราบดีคือ ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักดังกล่าว ถูกปล่อยว่างมานาน (อันที่จริงผู้เขียนเคยรายงานเรื่องของบุคคลคนเดิมที่อยู่ในตำแหน่งนี้มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน) แล้วก็มีการประกาศเปิดรับสมัครผู้เข้าชิงตำแหน่งนี้เมื่อช่วงปลายปี 2563 แต่สุดท้ายก็ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดเหมาะสมกับตำแหน่งที่แสนจะต้องใช้ความสามารถสูงส่งนี้แม้เพียงรายเดียว แต่สุดท้ายแล้ว ปรากฏว่าไทยพีบีเอสได้เลือกเอาผู้จัดการรายหนึ่งจากสำนักทรัพยากรมนุษย์ขึ้นไปกินตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักนี้ คนไทยพีบีเอสจำนวนไม่น้อยยืนยันว่าคุณสมบัติไม่น่าจะเหมาะสมกับตำแหน่ง ที่สำคัญคือคนที่รับตำแหน่งนี้ไม่เคยสมัครแข่งขันชิงตำแหน่งนี้มาก่อน หลายคนวิพากษ์ว่า ที่ไม่สมัครชิงตำแหน่งเพราะแน่ใจว่าตนไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ หรือเพราะมั่นใจว่าสุดท้ายแล้วจะได้กินตำแหน่งนี้แน่นอน เพราะมีมือที่มองไม่เห็นช่วยหนุนส่ง จึงไม่ต้องสมัครให้เสียเวลา สู้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่คนในองค์กรไม่เห็นด้วยดีกว่า
ตอนนี้คนไทยพีบีเอสกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าผอ.สำนักทรัพยากรมนุษย์คนใหม่ล่าสุดจะทำงานมีประสิทธิภาพเพียงใด แล้วจะจ้างใครเป็นที่ปรึกษาหรือไม่ อันที่จริงคนไทยพีบีเอสเขาระบุชื่อมาด้วยซ้ำไปว่าที่ปรึกษาของ ผอ. สำนักทรัพยากรมนุษย์คนใหม่ชื่ออะไร (ซึ่งเป็นชื่อที่คนในไทยพีบีเอสต่างรู้จักกันดี เพราะเป็นน้องสาวของหมอคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมแสวงหาอำนาจการเมืองตลอดเวลา)
เรื่องนี้ยังพาดพิงไปถึง วิลาสินี พิพิธกุล ผอ.ไทยพีบีเอส ที่ได้รับตำแหน่ง ผอ.สมัยที่สอง ทั้งๆ ที่หลายคนสงสัยว่าได้ตำแหน่งด้วยเหตุผลอะไร เพราะไม่มีงานใดบ่งบอกชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพได้มาตรฐานการข่าวแม้แต่น้อย แต่ที่เห็นเป็นประจำคือ ความผิดพลาดในการทำงานของไทยพีบีเอสที่เกิดขึ้นแล้วสังคมประจักษ์เสมอๆ
จดหมายนี้อ้างว่า ขอร้องเรียนเรื่องนี้ต่อเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ประธานกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส โดยระบุว่าหากต้องการให้ประชาคมไทยพีบีเอสยอมรับคุณภาพการทำหน้าที่ประธานกรรมการนโยบายฯ ก็ต้องนำพาไทยพีบีเอสออกจากวังวนของปัญหาเดิมๆ ปัญหาเก่าๆ ที่หมักหมมซ้ำซากมายาวนานให้จงได้ โดยมีผู้ตั้งคำถามด้วยว่า เจิมศักดิ์จะกล้าคานอำนาจกับหมอรายนั้นหรือไม่
ขอย้ำว่าเนื้อหาสาระของจดหมายที่จั่วหัวว่าส่งถึงคณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอสตอกย้ำถึงข้อสงสัยในคุณสมบัติของ ผอ. สำนักทรัพยากรมนุษย์และโยงใยเส้นทางอุปถัมภ์ระหว่างคนบางคนอย่างหนักหน่วง ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ประธานกรรมการนโยบายน่าจะเข้าไปทำความกระจ่างให้ปรากฏโดยพลัน
ส่วนอีกประเด็นที่ร้องเรียนคือการบอกเล่าถึงพฤติกรรมของ ผู้อำนวยการศูนย์ที่มีฐานะเทียบเท่าสำนัก ข้อบ่งชี้ที่ระบุในจดหมายคือ ผอ. รายที่ว่านี้รับคนเข้าทำงานโดยไม่โปร่งใส แถมยังให้ค่าจ้างคนที่ตนเองรับเข้าทำงานในอัตราที่สูงผิดสังเกต ซึ่งผู้เขียนถามกลับไปยังคนร้องเรียนว่า แล้วสำนักทรัพยากรมนุษย์ไม่มีข้อโต้แย้งหรือ เพราะองค์กรต้องมีมาตรฐานเงินเดือนค่าจ้าง หากจ้างผิดไปกฎระเบียบองค์กรผู้อนุมัติจ่ายเงินค่าจ้างต้องรับผิดชอบ คำตอบที่ผู้เขียนได้รับคือลูกจ้างของศูนย์นี้มีค่าตอบแทนสูงกว่าพนักงานประจำของไทยพีบีเอส และย้ำอีกว่าไม่มีลูกจ้างในศูนย์ใดของไทยพีบีเอสมีค่าจ้างสูงเทียบเท่ากับลูกจ้างศูนย์นี้ ซึ่งผู้เขียนบอกว่าจะรับเรื่องไว้พิจารณา แล้วพยายามค้นหาความจริงต่อไป แต่หากผู้ร้องสามารถนำหลักฐานการจ่ายเงินค่าจ้างที่สูงกว่ามายืนยันได้ผู้เขียนจะนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดให้โดยไม่ปิดบังชื่อเสียงและอัตราเงินเดือนของลูกจ้างศูนย์ดังกล่าว แต่ได้รับคำตอบจากผู้ร้องว่า แหม! พี่ พี่คิดว่าเราจะหาหลักฐานที่เป็นเอกสารได้หรือ เราไม่ได้ชื่อเจิมศักดิ์ หรือวิลาสินีนะพี่ แต่เรารับรองว่าเรื่องที่เราบอกกับพี่นั้น เป็นเรื่องที่คนในไทยพีบีเอสต่างรู้ดีและพูดกันสนั่นไทยพีบีเอส
เนื้อหาในจดหมายยังระบุด้วยว่าสาเหตุที่ ผอ. ศูนย์ดังกล่าว มีอิทธิพลมาก เพราะเขาคือนักร้องเสียงดังที่วิลาสินีต้องกลัวเขา หากวิลาสินีไม่ทำตาม ไม่ตอบสนองเรื่องที่เขาร้องตะโกน เขาก็จะร้องเรียนและเปิดเผยเรื่องราวของวิลาสินี ในนี้ยังยกตัวอย่างเรื่องจริงที่คนไทยพีบีเอสค้างคาใจกันมานานคือเรื่องการจ่ายเงินโบนัสให้พนักงาน ซึ่งคนไทยพีบีเอสย้ำว่าวิลาสินีไม่เคยทำโบนัสให้กระจ่าง
แต่มีอีกประเด็นหนึ่งที่คนไทยพีบีเอสและคนที่เขียนจดหมายนี้ยืนยันกับผู้เขียนคือเรื่อง sexual harassment ในศูนย์ดังกล่าว แต่เรื่องนี้ผู้เขียนบอกว่าแม้พยายามจะเชื่อ เพราะเมื่อเห็นชื่อของผู้ที่ถูกระบุว่ากระทำ harassment กับชื่อและตัวตนของผู้หญิงที่ถูกอ้างว่าได้รับผลจาก harassment ดังกล่าว แต่ก็ต้องขออนุญาตเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะต้องตรวจสอบกันอีกพอประมาณ ผู้เขียนเลยถามกลับไปว่า ทำไมไม่ร้องเรียนเรื่องนี้ให้เป็นกิจลักษณะต่อประธานคณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส จะได้ทำให้เรื่องปรากฏชัดโดยเร็ว ผู้ร้องเรียนอ้างฝ่ายหญิงที่ตกเป็นเหยื่อเกรงความไม่ปลอดภัย แต่ผู้ร้องยืนยันว่าได้ยื่นเรื่องนี้ไปที่วิลาสินีแล้ว แต่เรื่องเงียบ ติดตามถามไปที่ฝ่ายงานวินัยของไทยพีบีเอสก็ยังเงียบ ผู้ร้องบอกอีกว่าร้องเรื่องนี้ไปยังวิลาสินีก่อนที่วิลาสินีจะพ้นตำแหน่ง ผอ. ไทยพีบีเอส แล้วกลับเข้ามารับตำแหน่งใหม่อีกวาระ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ทิ้งท้ายของจดหมายดังกล่าวระบุว่า หากกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส ไม่ลงมือแก้ปัญหาใดๆ ในองค์การอย่างจริงจัง ผู้ร้องจะส่งเรื่องนี้ไปร้องเรียนตามสื่อมวลชนอื่นๆ ในประเทศไทย ซึ่งผู้เขียนถามกลับไปว่า แล้วจะส่งเรื่องนี้ให้ไทยพีบีเอส และสำนักข่าวอิศราด้วยไหม เพราะคณะกรรมการร้องทุกข์ของไทยพีบีเอสมีชื่อของผู้บริหารสำนักข่าวอิศราร่วมอยู่ด้วย คำตอบที่ได้รับคือ ยิ้มหวาน แล้วส่ายหัว พร้อมกับเบ้ปากมองบน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี