กรณีทักษิณ ชินวัตร โม้สร้างภาพเพื่อใส่ร้ายตำรวจยุคนี้ว่ายิงกระสุนจริงใส่เด็ก (ข้อมูลเท็จ) แล้วอ้างว่าตัวเป็นอดีตตำรวจ อดีตนายกฯ ไม่เคยทำอะไรแบบนี้“หมาเดินผ่าน เขาให้ยิงหมา ผมไม่ยิงนะ”
ปรากฏว่า ถูกนายปวิน ที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศ “หยิก”กลับ ว่าสงครามยาเสพติดสมัยทักษิณ “คนถูกยิงตายเป็นพัน” หน้าหงายไปตามระเบียบ เย็บปากเงียบสนิท
ขอให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ดังนี้
1. การชุมนุมในยุครัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลนอมินีของทักษิณก็ดี
หากเป็นการชุมนุมของฝ่ายที่คัดค้านรัฐบาล หลายกรณีจะถูกเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปราบปรามสลายการชุมนุมอย่างรุนแรง และยังปล่อยให้กองกำลังติดอาวุธเถื่อนใช้อาวุธจริงเข้าสังหารประชาชน ตายเป็นใบไม้ร่วงในระหว่างเปิดเวทีชุมนุม ฟังการปราศรัย อาทิ
นักศึกษานั่งชุมนุมคัดค้านท่อก๊าซโดยสงบ ที่อำเภอจะนะ สงขลา ถูกตำรวจยุคทักษิณดาหน้าไล่ตี ไล่ทำร้าย
พันธมิตรฯ ถูกสลายการชุมนุมโดยสงบที่หน้ารัฐสภา แขนขาด ขาขาด
พันธมิตรฯ ถูก M-79 ยิงถล่ม ขณะชุมนุมฟังการปราศรัยแทบนับครั้งไม่ถ้วน
กปปส. ถูก M-79 ยิงถล่มหน้าบิ๊กซี ราชดำริ, ถูกกราดยิงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย+จังหวัดตราด,ถูกปาระเบิดที่บรรทัดทอง+อนุสาวรีย์ชัยฯ ฯลฯ
2. เหตุการณ์กรือเซะ-ตากใบ ในยุครัฐบาลทักษิณ
เหตุการณ์กรือเซะ 28 เม.ย. 2547 เจ้าหน้าที่ใช้ปืนอาร์พีจียิงเข้าไปภายในมัสยิด (ฝ่ายผู้ก่อเหตุมีอาวุธ)
เหตุการณ์ตากใบ 25 ตุลาคม 2547 สลายการชุมนุมหน้า สภ.อ.ตากใบ ไม่ปรากฏว่าชาวบ้านมีอาวุธ มีผู้ชุมนุมถูกยิงที่หัว ตายในที่เกิดเหตุ 6 คน ตายที่โรงพยาบาลอีก 1 คน อีกหลายคนถูกยิงบาดเจ็บสาหัส บ้างถูกยิงหลังจากที่นอนหมอบราบอยู่กับพื้นแล้ว บ้างก็ถูกยิงขณะวิ่งหนีเพื่อสลายตัวจากการชุมนุม และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก
หลังสลายการชุมนุม และควบคุมพื้นที่ไว้ได้หมดแล้ว จับกุมประชาชน โดยบังคับให้ประชาชนถอดเสื้อ มัดมือไพล่หลัง นอนคว่ำหน้า บังคับให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าโดยวิธีคลานด้วยท้อง ใช้ไหล่ หน้าอกและท้อง ดันลำตัวคืบไปกับพื้น มีการมัดมือไพล่หลัง ผูกร้อยข้อมือผู้ถูกจับกุมพ่วงกันเป็นพวงเป็นชุดๆ
ขนย้ายประชาชน ที่อยู่ในสภาพถูกถอดเสื้อ มัดมือไพล่หลัง ร่างกายอ่อนเพลียจากการปะทะในระหว่างสลายการชุมนุมและอยู่ระหว่างถือศีลอด บ้างก็ให้เดินขึ้นบันได บ้างดึงตัวหรือกระชากตัวขึ้นรถบรรทุก ผู้ชุมนุมขึ้นไปบนรถแล้วผลักให้นอนคว่ำหน้าบนพื้นรถ บังคับให้นอนคว่ำหน้าบนพื้นรถในขณะที่มือยังถูกมัดไพล่หลัง แล้ววางร่างของประชาชนนอนคว่ำหน้าซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ 4-5 ชั้น
สุดท้าย ขาดอากาศหายใจ ตายคารถ 78 คน บาดเจ็บจำนวนมาก
3. กรณีฆาตกรรมในสงครามยาเสพติด
ที่ว่ามีคนถูกยิงตายเป็นพัน จริงหรือไม่?
ความจริง ช่วงสงครามยาเสพติดในยุครัฐบาลทักษิณ ในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน ก.พ.-เม.ย. 2546 มีคนถูกยิงตายไป 2 พันกว่าคน และเกินครึ่งไม่ได้เป็นพ่อค้ายาเสพติด
นโยบายยุคนั้น เร่งรีบจะสร้างภาพความเด็ดขาด มุ่งเอาคะแนนนิยมทางการเมือง ให้จัดทำบัญชีดำ โดยที่การขึ้นบัญชีดำของทางการในขณะนั้น มีความบกพร่องร้ายแรง พ่อค้ายาบางรายไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีดำ แต่คนมีชื่ออยู่ในบัญชีดำจำนวนมากกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้าขายยาเสพติดเลย
จากนั้น บังคับเจ้าหน้าที่ให้ต้องทำยอด ด้วยการลดรายชื่อบุคคลในบัญชีดำของทางการให้ได้
โดยถือเอายอดการเสียชีวิตของบุคคลในบัญชีดำ ไม่ว่าจะตายด้วยวิธีการใดๆ เป็นหนึ่งในผลงานด้วย
กำหนดให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดต้องปราบปรามผู้มีรายชื่อในบัญชีดำให้ได้อย่างน้อยถึงร้อยละ 25
พูดง่ายๆ ว่า ต้องตัดยอดบัญชีดำ ทำให้ลดลงอย่างน้อย 25% ภายในเวลา 3 เดือน
กำหนดหลักเกณฑ์ที่ใช้วัดผลในการตัดยอดคนในบัญชีดำ 3 อย่าง คือ
(1) การจับกุมดำเนินคดีจนถึงขั้นอัยการส่งฟ้องศาล
(2) การวิสามัญฆาตกรรม
และ (3) การที่ผู้มีรายชื่อในบัญชีดำเสียชีวิตไม่ว่าด้วยกรณีใดก็ตาม
ทักษิณกำชับและข่มขู่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานว่า “ถ้าล้มเหลว ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดก็คงต้องไปด้วยกัน” ทั้งสั่งการ มอบหมายนโยบาย และชี้นำผู้ปฏิบัติงานโดยใช้ถ้อยคำ วาทกรรมที่รุนแรง ในลักษณะยุยงส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงนอกระบบกฎหมายเข้าจัดการรุนแรง เช่น “ท่านต้องใช้ Iron fist หรือกำปั้นเหล็ก ใช้ความเด็ดขาดอย่างชนิดไม่ต้องปรานี พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เคยกล่าวไว้ว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องยาเสพติดผมมั่นใจว่าตำรวจไทยจัดการได้” - “การทำงานหนักของท่าน 3 เดือนถ้าจะมีผู้ค้ายาตายไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ” หรือ “บางทีถูกยิงตายแล้วต้องถูกยึดทรัพย์ด้วย ผมคิดว่าเราต้องเหี้ยมพอกัน” หรือ “ที่อยู่ของขบวนการค้ายาเสพติดมี 2 ที่ คือถ้าไม่ไปคุก ก็ไปวัด” - “ผมจัดการแน่นอน ไม่เก็บไว้ทำพ่อหรอก ขอให้บอกเบาะแสมา ใครขายยาผมจะหิ้วให้หมด จะส่งไปเยี่ยมยมบาลให้หมด”
ปรากฏว่า ในช่วงเวลา 3 เดือน มีการ“ทำยอด” ยิงทิ้งคนที่มีชื่อในบัญชีดำ จำนวนมาก!
รายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระ คตน. (ชุดที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน) ระบุว่า เข้าข่ายเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ!
ชี้ชัดว่า การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณ และการนำนโยบายไปปฏิบัติจนเป็นผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตของประชาชนพลเรือนเป็นจำนวนมากนั้น วางแผนโดยการทำบัญชีข้อมูลบุคคลและสั่งลดจำนวนบุคคลในบัญชีข้อมูลบุคคล เป็นการกระทำตามนโยบายที่รัฐวางไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเกิดการฆาตกรรมอย่างเป็นระบบในวงกว้างนับเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติอย่างชัดเจน ผู้กำหนดนโยบายดังกล่าว น่าจะเป็นผู้กระทำความผิดในความผิดฐาน “ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” หรือ “Crimes against humanity” อันเป็นความผิดอาญาระหว่างประเทศ ตามธรรมนูญแห่งกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ
4. นอกจากนี้ ยุคนั้น ยังมีเอ็นจีโอ นักเคลื่อนไหว ผู้นำชาวบ้าน ถูกยิงทิ้ง ถูกอุ้มหาย จำนวนมาก
แต่ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ก็ไม่กดดันคุกคามการบริหารงานของรัฐบาล เพราะยุคนั้น รัฐบาลทักษิณมีนโยบายต่างประเทศที่เอาใจสหรัฐ ช่วยเหลือสหรัฐในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย โดยยอมเอาประเทศไทยเข้าไปร่วมเสี่ยง ทั้งกรณีอัฟกานิสถาน กรณีอิรัก ฯลฯ
ต่างกับรัฐบาลยุคนี้ ที่ไม่ยอมเป็นเด็กในโอวาทอเมริกา
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี