นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 การเมืองไทยยังไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสละพระราชอำนาจของพระองค์ให้แก่ประชาชน ไม่ให้ผูกขาดอยู่ในหมู่ใดคณะใดคณะหนึ่ง
เพราะนับแต่บัดนั้นมาถึงบัดนี้การเมืองไทยมิได้บังเกิดก่อประโยชน์สุขให้แก่ประชาชนตามพระราชประสงค์ มีการแย่งชิงอำนาจผูกขาดตลอดมา
การเมืองไทยวนเวียนอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐสภา บางช่วงก็เป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ บางช่วงก็เป็นเผด็จการรัฐสภา และใช้อำนาจนั้นเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองและทุนการเมือง จึงเป็นต้นเหตุแห่งวิบัติทั้งหลาย เพราะเป็นการเมืองประเภทที่ต้องอาศัยทุน ทั้งทุนที่ได้มาจากการโกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวงและทุนที่ได้จากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของชาติกับทุนใหญ่
ในขณะเดียวกันก็มีการลิดรอนเบียดบังพระราชอำนาจ แอบอ้าง และฉกฉวยใช้พระราชอำนาจในการสร้างกรรมทำเข็ญให้กับบ้านเมือง
สิ่งที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแท้จริงจึงเป็นเพียงระบอบเผด็จการรัฐสภา ที่เบียดบังและลิดรอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ดังนั้น จึงเป็นผลให้ประเทศไทยและประชาชนไทยตกอยู่ในสภาพยากจน ขาดแคลน ล้าหลัง กระทั่งกำลังมีหนี้สินล้นพ้นตัว ในขณะที่รัฐราชการที่ตั้งขึ้นและขยายตัวไปเพื่อตอบสนองต่อระบอบเผด็จการรัฐสภานั้นกำลังก่อเกิดภาระอันหนักหน่วงที่ประชาชนไม่สามารถแบกรับได้อีกต่อไป
ดังนั้นการเรียกร้องแสวงหาความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นทุกหัวระแหง แม้จะมีความแตกต่างในข้อเรียกร้องนั้นเป็นหลายประการ แต่ทิศทางใหญ่ใจความก็ได้แสดงออกซึ่งความปรารถนาของปวงชนชาวไทยอย่างชัดเจนว่า
เรียกร้องต้องการให้ประเทศไทยเปลี่ยนเข้าสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยของปวงชน ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สมดังพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และกระแสนี้กำลังขับเคลื่อนขยายตัวไปอย่างกว้างขวางในทุกหมู่ชน
สารพัดวิกฤตที่เกิดขึ้นจากระบอบเผด็จการรัฐสภาปีแล้วปีเล่า ได้ก่อกรรมซ้ำเติมทุกข์ภัยให้แก่แผ่นดินเป็นอเนกประการ เมื่อถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตต่างๆ ในปัจจุบันทั้งวิกฤตทางการเมือง วิกฤตโรคระบาด วิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังส่งผลให้ทุกภาคส่วนเจ๊งกันทั้งประเทศ ทำให้กระแสความเรียกร้องต้องการของประชาชาติไทยก่อเกิดเป็นคลื่นกระแสใหญ่ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในขณะที่ระบอบเผด็จการรัฐสภาก็ยังดื้อรั้นที่จะรักษาอำนาจและระบอบเผด็จการนั้นไว้ต่อไป แต่ในที่สุดประชาชนก็รู้เช่นเห็นชาติว่าไม่ว่าจะดิ้นรนสลับหน้าสลับตากันมาอย่างไร จะจับขั้วพรรคขั้วพวกกันสักกี่รอบกี่ครั้ง ธาตุแท้ก็ยังคงเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาอยู่นั่นเอง
เมื่อต้นเหตุปัญหาของชาติไม่ได้รับการแก้ไขการต่อสู้เพื่อแสวงหาระบอบประชาธิปไตยของปวงชนที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจึงขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง เสียงเรียกหาธรรมรัฐ นิติรัฐ ที่มีคุณธรรมและจริยธรรม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามกำลังกึกก้องขึ้นในประเทศไทยชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในระบอบการปกครองปัจจุบันนี้การเมืองในรัฐสภาแบ่งออกเป็นสองขั้วชัดเจน คือ ขั้วของพรรคร่วมรัฐบาล และขั้วของพรรคร่วมฝ่ายค้าน และเป็นที่แน่นอนว่าภายใต้ระบอบที่เป็นอยู่นี้แม้ในขั้วเดียวกันเองก็มีความแตกแยก มีความขัดแย้ง มีการหักหลัง มีการขายตัว มีการซื้อตัวกันจ้าละหวั่น ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่สร้างความอิดหนาระอาใจแก่ประชาชน
การโกหกหลอกลวง การตระบัดสัตย์ต่อประชาชนกระทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แม้การตั้งหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยา หรือ IO เพื่อสร้างกระแสสังคมลวงว่าประชาชนสนับสนุนขั้วนั้นขั้วนี้หรือพรรคนั้นพรรคนี้ ในที่สุดประชาชนก็จับได้ไล่ทันว่าเป็นเพียงกโลบายและมายาภาพลวงโลกด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นการปั่นกระแสดังกล่าวจึงไม่มีฐานะและคุณค่าความเป็นจริงในการที่จะระงับยับยั้งสถานการณ์ที่กำลังขับเคลื่อนไป
สัญญาณระยะเปลี่ยนผ่านการเมืองแบบเผด็จการรัฐสภาไปสู่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของปวงชนที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความเด่นชัดขึ้นโดยลำดับ ประการสำคัญคือ
ประการแรก ความตื่นตัวของเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้มีสิทธิเลือกตั้งตั้งแต่อายุ 18-25 ปี มีจำนวนกว่า 10 ล้านคน ได้แสดงออกถึงความเรียกร้องต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยเป็นพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะจะมีปริมาณมากขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป
ประการที่สอง ความเน่าเฟะของระบอบเผด็จการรัฐสภามาถึงจุดต่ำสุดในทุกด้าน ทั้งความด้อยประสิทธิภาพ ความล้าหลัง การประพฤติปฏิบัติที่ไม่ชอบ การโกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวง การย่ำยีกฎหมาย หรือการใช้กฎหมายแบบศรีธนญชัย และความยากจนข้นแค้นแสนเข็ญที่ขยายตัวไปทั่วประเทศ แม้กระทั่งประเทศชาติก็กำลังตกอยู่ในสภาพหนี้สินล้นพ้นตัว
ประการที่สาม ผลการสำรวจความนิยมของประชาชนในภาคอีสานซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่สำคัญที่สุด ปรากฏว่าความนิยมของพรรคการเมืองและนักการเมืองขั้วตรงกันข้ามกับรัฐบาลได้รับความนิยมกว่า 70% ซึ่งจะส่งผลสะเทือนต่อทั่วประเทศ
ประการที่สี่ ผลการบริจาคเงินแก่พรรคการเมืองจากการเสียภาษีอากรของประชาชนปรากฏว่า มีการบริจาครายเล็กรายน้อยตั้งแต่รายละ 100-1,000 บาทหลายแสนราย โดยผลรวมปรากฏว่าเป็นการบริจาคให้แก่พรรคการเมืองขั้วตรงกันข้ามกับรัฐบาล
ประการที่ห้า ความบอบช้ำและความพินาศย่อยยับจากการแก้ปัญหาโคบ้าที่ทำให้ทุกภาคส่วนเจ๊งกันทั้งประเทศ แม้ยังไม่มีผลสำรวจว่าผู้ประสบชะตากรรมเหล่านั้นจะสนับสนุนขั้วใด คำตอบก็มีอยู่ในตัวแล้ว
ทั้งห้าประการนี้จะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยในระยะไม่ไกลจากนี้
ระบอบประชาธิปไตยของปวงชนที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะปรากฏเป็นจริงอย่างแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี