เมื่อปลายปีที่แล้ว นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เร่งเดินหน้าเพิ่มศักยภาพ ตามแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยจะได้ผลประโยชน์มากมาย ในอนาคตข้างหน้า
จากการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม พบรายละเอียดว่า ปี 2564 ที่ผ่านมารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ขับเคลื่อนอีอีซี อย่างเต็มสูบทำให้พื้นที่อีอีซีเกิดความก้าวหน้าอย่างเป็นระบบ พร้อมวางรากฐานเพิ่มความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจ ยกระดับรายได้ของชุมชน พัฒนาให้คุณภาพชีวิตคนไทยทุกคนดีขึ้น ก้าวสู่เป้าหมายช่วยให้ประเทศพ้นจากรายได้ปานกลาง ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งตลอดการทำงานของอีอีซี ในปีที่ผ่านมา ได้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อเนื่อง ได้แก่
1.บันทึกประวัติศาสตร์ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานได้ครบไม่พึ่งเงินกู้ต่างประเทศ แถมรัฐได้ผลตอบแทน 2 แสนล้าน โดย โครงการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน (PPP) อีอีซี ได้ผลักดันเซ็นสัญญาครบทั้ง 4 โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุดและแหลมฉบัง มูลค่าลงทุนรวมสูงถึง 654,921 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนจากภาคเอกชน 416,080 ล้านบาท (ร้อยละ 64)และการลงทุนภาครัฐ 238,841 ล้านบาท (ร้อยละ 36) โดยภาคเอกชนจะให้ผลตอบแทนภาครัฐ 440,193 ล้านบาท และรัฐได้ผลตอบแทนสุทธิ 210,352 ล้านบาท
2.ปี 2564 ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ อีอีซี ได้เดินหน้าผลักดันการลงทุนในพื้นที่ ซึ่งได้อนุมัติการลงทุนแล้ว 1.6 ล้านล้านบาทจากมูลค่าเป้าหมายการลงทุนของอีอีซีในแผนแรก (2561-2565) ที่กำหนดเงินลงทุนไว้ 1.7 ล้านล้านบาท (ร้อยละ 94)พร้อมนี้ ได้กำหนดแผนลงทุนอีอีซีระยะ 2 ในอีก 5 ปีข้างหน้า(2565-2569) เพื่อขับเคลื่อนต่อยอดและเร่งรัดการลงทุนด้วยการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และวิจัยพัฒนา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ มีวงเงินลงทุนรวมประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่
ต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน 200,000 ล้านบาท จากเมืองการบินภาคตะวันออก การพัฒนาพื้นที่ 30 กิโลเมตร รอบสนามบิน และพัฒนาพื้นที่รอบสถานีหลักรถไฟความเร็วสูงฯ (TOD) ดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมาย ปีละ 400,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ (1) การลงทุนในระดับฐานปกติ ปีละ 250,000 ล้านบาท และ (2) การลงทุนส่วนเพิ่มที่เน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (EV) ดิจิทัล การแพทย์สมัยใหม่ การขนส่งโลจิสติกส์ เกษตรสมัยใหม่และอาหาร ภายใต้บริบทเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (BCG) รวมปีละ 150,000 ล้านบาท
ยกระดับชุมชนและประชาชน เร่งพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนระดับหมู่บ้าน พัฒนาตลาดสด/ e-commerce สร้างรายได้ให้ชุมชนเพิ่ม ยกเครื่องการศึกษา สาธารณสุขพื้นฐาน สิ่งแวดล้อมและสาธารณูปโภคที่สะดวกสบายให้ชุมชน
3.ยกระดับแกนนำลงทุนมิติใหม่ ไทยพร้อมรับลงทุนนวัตกรรมขั้นสูง คู่ดูแลสิ่งแวดล้อมยั่งยืน โดยผลักดัน การลงทุนสำคัญหลายโครงการ เช่น โครงการเปิดสวนน้ำโคลัมเบีย พิคเจอร์ แห่งแรกของโลกในพื้นที่อีอีซี รวมไปทั้ง โครงการการผลักดันการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ (ระยองโมเดล) เมื่อแล้วเสร็จ จะรองรับขยะได้สูงถึง 500 ตัน/วัน และผลิตไฟฟ้าได้ 10 เมกะวัตต์ เป็นต้น
4.วางกรอบสิทธิประโยชน์ เน้นความต้องการผู้ประกอบการ จูงใจนักลงทุน ใช้นวัตกรรมเคียงคู่สิ่งแวดล้อม ดำเนินงานด้านสิทธิประโยชน์ โดยขยายมาตรการสนับสนุนการลงทุนจากโครงการที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล สู่การให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ โดยเริ่มนำร่องที่เขตส่งเสริมฯ เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) ให้เป็น พื้นที่ต้นแบบ (Sandbox) “การปฏิรูปและยกระดับประเทศไทย ก้าวสู่ 10 อันดับของประเทศที่ประกอบธุรกิจง่ายที่สุด”
5.เดินหน้าแผนพัฒนาเกษตร เร่งรัดโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (EFC) ช่วยเกษตรกรเพิ่มรายได้ จากสินค้าสำคัญ คือ ผลไม้ ทุเรียน มังคุด มะม่วง ประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทดแทนนำเข้า พืชอุตสาหกรรมชีวภาพ มันสำปะหลังพืชสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร และเกษตรมูลค่าสูง โคเนื้อพรีเมียมตั้งเป้าหมายยกระดับรายได้ให้ชุมชนเกษตรกรในพื้นที่
6.เสริมแกร่งยกระดับสาธารณสุข คนไทยเข้าถึงรักษาโรคแม่นยำ หายป่วยง่าย สุขภาพดีทั่วหน้า รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์
7.จับมือสถาบันการเงินชั้นนำ เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการทุกระดับ เกษตรกร ชุมชน คลายผลกระทบโควิด-19 ทุกระดับ ทั้งสินเชื่อเพื่อยกระดับเกษตรกรไปสู่การทำธุรกิจการเกษตรให้กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กลุ่มเกษตรกรและชุมชนในพื้นที่ อีอีซี
8.ต่อยอดใช้ประโยชน์ 5G ครบมิติ “สร้างชุมชนต้นแบบ ส่งเสริมโรงงานอัจฉริยะ พัฒนาทักษะบุคลากร”
9.พลิกโฉม NEO PATTAYA โดยเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2564 ได้มีการประชุมร่วมกับนายกเมืองพัทยาเพื่อหารือแนวทางการพัฒนาพื้นที่ตลาดลานโพธิ์นาเกลือ และอยู่ระหว่างการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานร่วมกัน โดยเมืองพัทยาได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารจอดรถ พร้อมทั้งเตรียมปรับปรุงภูมิทัศน์รอบพื้นที่ตลาดลานโพธิ์นาเกลือ เช่น ปรับปรุงสวนสาธารณะก่อสร้างเส้นทางเดินชมธรรมชาติ ปรับปรุงจุดชมทัศนียภาพ เป็นต้น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับชุมชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชนหลังสถานการณ์ COVID-19 ผลักดันสู่การเป็นต้นแบบการพัฒนาเชิงพื้นที่แบบบูรณาการระหว่างรัฐ เอกชน และท้องถิ่น อย่างแท้จริง
10.สร้างต้นแบบ EEC model เยาวชนคนรุ่นใหม่ ไม่ตกงาน แรงงานไทย ได้งานดี รายได้สูง
อีอีซี ให้ความสำคัญการพัฒนาทักษะบุคลากรอย่างต่อเนื่องเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถานศึกษา ตามแนวทาง EEC model ต้นแบบการศึกษายุคใหม่ ผลิตคนจริง ตรงตามความต้องการ (Demand Driven Education) เป้าหมาย คือ ต้องการให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ ประชาชน มีงานทำ รายได้ดี ด้วยความสามารถ โดยที่ผ่านมาได้ผลิตบุคลากรร่วมกับภาคเอกชนด้วยกลไกที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนมีส่วนร่วมออกแบบหลักสูตร(Co-endorse) และร่วมจ่าย (Co-pay) เพื่อให้มั่นใจว่าได้คนตรงตามความต้องการจริง ซึ่งมีทั้งรูปแบบเอกชนจ่าย 100% จบมามีทำงานทันที โดยตั้งเป้าการพัฒนาบุคลากร ผลิตคนให้ได้ 120,000 คน ภายในปี 2566
สำหรับการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาบุคลากร ในระยะต่อไป เตรียมจัดอบรม (EEC Type B) อาทิ โครงการฝึกอบรมระยะสั้น 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เน้นพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานได้จริง โครงการฝึกอบรมระยะสั้นภาคยานยนต์ เพื่อรักษาการจ้างงานพร้อมกับพัฒนาทักษะใหม่และโครงการฝึกอบรมระยะสั้น ภาคท่องเที่ยว ยกระดับบุคลากรท่องเที่ยวกับการปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวใหม่ (EEC Local Wisdom Tourism)
โดยเบื้องต้นได้กำหนดเป้าหมายการฝึกอบรมพัฒนาทักษะบุคลากรรวมจำนวน 25,450 คน แบ่งเป็นการฝึกอบรมบุคลากรตามแผน 13,130 คน และการฝึกอบรมเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จำนวน 12,320 คน และในปี 2565 วางเป้าหมายจะพัฒนาทักษะบุคลากรได้รวม 36,700 คน
ครับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ อีกไม่นานประชาชนก็จะได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างทั่วหน้า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี