กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ทวีตข้อความเรียกร้องให้รัสเซียถอนทหารจากยูเครน ว่า
“ผมขอสะท้อนคำพูดของประธานาธิบดียูเครน Volodymyr Zelensky ว่า “สงครามเป็นการยกเลิกหลักประกันความมั่นคงของทุกฝ่าย ประชาชนจะเป็นผู้ที่เจ็บปวดมากที่สุด และประชาชนก็คือคนที่ต้องการสงครามน้อยที่สุด” และผมขอเรียกร้องให้รัสเซียถอนกำลังทหารจากยูเครนในทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข” นั้น
มีคน “ติดใจ” และให้ความรู้อีกหลายๆ ด้าน เพื่อช่วยลดอาการ “ติดหล่อ” ของพี่ทิมกันอย่างครึกครื้น
1) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค กรณีนายพิธาลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เรียกร้องให้รัสเซียถอนทหารจากยูเครน ว่า
“เอาอย่างไร...
หัวหน้าพรรคก้าวไกล บอกสนับสนุนท่าทียูเครน ซึ่งถูกอเมริกาและนาโต องค์กรล้าสมัยหลังสงครามเย็น สนับสนุนอยู่ พูดง่ายๆ คือ สนับสนุน ยูเครน ในภาวะเกือบเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 นั่นเอง
ผมขอบอกคุณพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลสายอเมริกา ให้ทราบว่า การสนับสนุนยูเครนแบบออกหน้าออกตาแบบนี้ เท่ากับสนับสนุนอเมริกาในการตั้งฐานทัพในไทย ภายใต้สนธิสัญญาที่อเมริกาประกาศให้ไทยเป็นพันธมิตรทางทหารในภูมิภาคเอเชีย ใช่หรือไม่
พูดง่ายๆ คือ ยืนฝั่งอเมริกา ซึ่งมันก็มีผลต่อการเมืองระดับโลก
พรรคก้าวไกล เสนอลดกำลังทหารในไทยมาโดยตลอด วลีที่บอกว่า สงครามด้วยกำลังทหารจะไม่เกิดอีกแล้วนั้น ยังได้ยินชัดอยู่ทุกครั้ง ยิ่งเกิดวิกฤตยูเครน มันยิ่งดังชัดว่า พวกคุณอยู่ในโลกจินตนาการ มากกว่าความเป็นจริงสงครามมีหลายรูปแบบ ถ้าเราอยู่ในโลกอุดมคติเราจะลอยจากความเป็นจริง
ความเป็นจริงคือ 1.ยูเครนมีอเมริกาและนาโตคอยสนับสนุน 2.ยูเครนตอนนี้ ประกาศให้ทหารกองหนุนเข้ารับปืนเพื่อพร้อมรบ 3.ความจริงที่บอกว่า สงคราม พร้อมเกิดได้เสมอ
ข้อสังเกตคือ - หัวหน้า พรรคการเมืองไทย ออกความเห็นในทางสนับสนุนท่าทียูเครน ซึ่งอเมริกาหนุนหลังนั้น มันจะพาให้ไทยซวยไปด้วยหรือไม่ เพราะอเมริกาเพิ่งประกาศว่า ไทยเป็นพันธมิตรทางทหารกับอเมริกา อเมริกาหนุนหลังยูเครน พรรคก้าวไกลสนับสนุนยูเครน มันก็ฝั่งเดียวกับอเมริกานั่นเอง
สมมุติเมื่อภาวะสงครามกระจายออกไป พรรคก้าวไกล สนับสนุนให้อเมริกามาใช้ไทยเป็นฐานทัพ ใช่หรือไม่ ซึ่งมันขัดแย้งกับที่พวกคุณเคยบอกไว้นะว่า การรบโดยทหารจะไม่มีอีกแล้ว
เอาง่ายๆ ดีกว่า พวกคุณยังอ่อนแอ ในเรื่องความมั่นคงและการทหาร
เวลาเกิดสงคราม เขาไม่ได้มากอดหลักการสู้กันนะ
เขากอดปืนสู้กัน ดูยูเครนที่คุณสนับสนุนซิเขาแจกปืนชาวบ้านกันแล้ว ชาวบ้านกอดปืน ไม่ใช่กอดวาทกรรมสวยหรู
สมดุลเรื่องกำลังรบจึงมีความจำเป็น และในอนาคต การแข่งขันทางเศรษฐกิจเข้มข้น ตัววัดกำลังการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่เงินหรอก เพราะต่างคนต่างประเทศก็มีเงินมีทรัพยากร ตัวชี้กำลังตัดสินใจคือ กำลังสูงข่มทางทหาร
ฝากให้คิดนะครับท่านหัวหน้าพรรค...”
2) พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ(ศรภ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ถึงเรื่องดังกล่าวว่า
“...การที่คุณพิธา จะสามารถพูดประโยคนี้ได้ แล้วทำให้รัสเซียรับฟัง นั่นหมายความว่า คุณพิธาจะต้องมีอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นนิวเคลียร์ เครื่องบินรบ เรือรบ ทหาร ที่มากกว่า อเมริกานะครับ เพราะขนาด โจ ไบเดน พูด ปูตินเขายังไม่ฟังเลย นี่คือสาเหตุที่สิงคโปร์มีเรือดำน้ำถึง 4 ลำ พม่า 2 ลำ เวียดนาม 3 ลำ ฯลฯ
เรื่องนี้น่าจะเป็นบทเรียน สอนให้พวกโลกสวย เข้าใจนะครับ ว่า กำลังทางทหาร คือ อำนาจการต่อรองของประเทศในรูปแบบหนึ่ง ไม่งั้นต่อไปประเทศไทยก็ต้องพูดแบบประธานาธิบดี ยูเครน แน่นอน”
3) นายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคไทยสร้างไทยอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โพสต์ข้อความว่า
“...การแสดงท่าทีของไทยต่อเหตุการณ์ในยูเครนจะต้องทำด้วยความระวังและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ ถ้าอยากจะเรียกร้อง ต้องเรียกร้องให้
ทุกฝ่ายหยุดต้นเหตุที่จะนำไปสู่สงคราม นั่นคือ หยุดการกระทำที่เป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยของรัสเซียและยูเครน มหาอำนาจไม่ควรฉวยโอกาสบนความหายนะของคนยูเครน
เรื่องนาโตกับยูเครนไม่ได้เป็นการคุกคามแค่รัสเซีย แต่มีผลถึงจีนด้วย การแสดงท่าทีต่อรัสเซีย ย่อมจะมีผลไปถึงจีนเช่นกัน จึงต้องระมัดระวัง อย่าได้พาประเทศไปสู่วังวนความขัดแย้ง รวมทั้งรัสเซียและจีนต่างเป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงของ UN ด้วย อย่างน้อยควรรอมติ UN ไทยไม่ควรล้ำเส้น...”
4) ดร.พนา ทองมีอาคม นักวิชาการด้านสื่อมวลชน อดีตอาจารย์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวถึงเหตุการณ์รัสเซียบุกยูเครน ว่า
“...บ้านเรามักรับข่าวสารเรื่องรัสเซียและยูเครนจากมุมมองของโลกตะวันตก คนไทยจึงมักมีภาพของรัสเซียเป็นผู้ร้าย โดยที่เราไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมรัสเซียจึงมีพฤติกรรมก้าวร้าวเช่นนั้น
ถ้าจะเข้าใจปูตินต้องย้อนกลับไปถึงครั้งล่มสลายของสหภาพโซเวียต
ครั้งนั้นเมื่อมีการประกาศสิ้นสุดสงครามเย็น มีการประชุมสุดยอดระหว่าง กอร์บาชอฟ กับจอร์จ บุช และต่อมาหลังจากนั้น รมต.ต่างประเทศ เจมส์ เบเกอร์ ของอเมริกัน ได้แถลงให้ความมั่นใจกับรัสเซียว่า การคงกำลังของนาโตในเยอรมันเพียงเป็นไปตามพันธะในสนธิสัญญา นาโตจะไม่ขยายเขตอำนาจเข้าไปทางตะวันออกแม้แต่นิ้วเดียว
หลังการล่มสลายของโซเวียต จอห์น เมเจอร์นายกฯอังกฤษก็ให้คำมั่นว่า จะไม่มีการเสริมความเข้มแข็งให้กับนาโต วันเวลาหลังผ่านไป 30 ปี นาโตกลับขยายกลุ่มประเทศในสังกัดเข้าไปประชิดพรมแดนรัสเซียจะเรียกว่าจ่อคอหอยก็ว่าได้
จากพรมแดนร่วมแนวสั้นๆ กับรัสเซียแถวสแกนดิเนเวีย ปัจจุบันนาโตขยายรวมเอาประเทศในกลุ่มบอลติกที่เคยเป็นรัฐในสหภาพโซเวียตสามแห่งเข้าเป็นประเทศสมาชิกนาโต
เขตรอยต่ออำนาจที่เคยเป็นแนวสั้นๆ ได้ขยายเข้าไปทางตะวันออกมากกว่า 1000 กม. และเข้าไปประชิด เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมืองใหญ่อันดับสองของรัสเซียแค่ไม่ถึง 200 กม. และห่างจากมอสโกราวๆ600 กม. เท่านั้น
มีประเทศในอดีตกลุ่มวอร์ซอ แพ็กถึง 7 ประเทศที่แปรพักตร์ไปเข้าเป็นสมาชิกนาโต ยังมีการสัญญาแบบไม่เป็นทางการอีกด้วยว่า ที่สุดแล้วนาโตจะรับยูเครนและจอร์เจียเข้าเป็นสมาชิกอีกด้วย
ถ้าอยากเข้าใจสถานการณ์ก็ต้องเข้าใจมหาอำนาจและการรักษาฐานป้องกันประเทศของประเทศเหล่านี้
เมื่อครั้งเกิดวิกฤตการณ์คิวบา โซเวียตไปตั้งฐานทัพในคิวบาและขนจรวดไปติดตั้ง ทั้งๆ ที่คิวบาก็เป็นประเทศอิสระและอยู่ห่างจากอเมริกากว่า 1,000 ก.ม. (ขึ้นอยู่กับว่าวัดจากจุดไหน)
อเมริกาก็ยอมรับไม่ได้ และส่งกำลังทางเรือไปปิดล้อมคิวบา เอาเรือรบไปเผชิญหน้าสกัดกองเรือโซเวียตกลางทะเลหลวง
มาครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน รัสเซียรู้สึกว่าฝ่ายตะวันตกปิดล้อมใกล้เข้ามาทุกทีจนมาจ่อคอหอย เป็นจุดที่มหาอำนาจแบบรัสเซียถอยอีกไม่ได้แล้ว เพราะหากเกิดสงครามขึ้นมา พิสัยการรบใกล้ๆ แบบนี้ ไม่มีทางป้องกันตัวได้ทัน ถ้าเกิดถูกโจมตีด้วยจรวดหรือเครื่องบินรบสมัยใหม่
ยังมีภัยคุกคามเรื่องการทำสนธิสัญญาป้องกันร่วมระหว่างกัน หรือการเข้าเป็นสมาชิกของประเทศนาโต เช่น ถ้ายูเครนบุกเข้ายึดไครเมียและเป็นสมาชิกนาโตด้วย นั่นจะดึงให้รัสเซียต้องทำสงครามกับกลุ่มประเทศในยุโรปและอเมริกาไปด้วย
ในสายตาของรัสเซีย พวกเขามองว่าอดีตรัฐในโซเวียต เช่น ยูเครนและเบลารุส เป็นเสมือนญาติใกล้ชิดเนื้อเดียวกัน มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกัน มีคนรัสเซียหรือพูดรัสเซียจำนวนมากในประเทศเหล่านี้
รัสเซียในฐานะแกนกลางของสหภาพโซเวียต เคยช่วยเหลือเกื้อหนุนรัฐเหล่านี้มามาก เมื่อรัสเซียเปลี่ยนเป็นประเทศอุตสาหกรรม ก็ได้เผื่อแผ่การพัฒนาให้ ช่วยสร้างอุตสาหกรรม สร้างเศรษฐกิจ และให้อาวุธแก่รัฐในสหภาพเหล่านี้
ครั้งสหภาพโซเวียตล่มสลาย ก็มีแต่รัสเซียนี่เองที่ยอมก้มหน้าแบกรับภาระหนี้และพันธะต่างๆ แทนสมาชิกอื่นๆ ดังนั้น ความบาดหมางต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงเป็นเพราะมีคนนอกเข้าไปปลุกปั่นยุแหย่ และเกิดจากการแสวงหาอำนาจส่วนตัวของนักการเมืองที่อิงศัตรู ร่วมมือกับประเทศที่เป็นอริ
นี่เป็นมุมมองโดยประมาณของรัสเซีย วันนี้สื่อและคนส่วนใหญ่รับรู้ข่าวสารจากโลกตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ สำนักข่าวใหญ่ ๆ ที่ป้อนข่าวให้สื่อไทยล้วนเป็นสื่อค่ายตะวันตกทั้งนั้น การรับรู้มุมมองของรัสเซียด้วย จะทำให้เราเข้าใจเขามากขึ้น และไม่ไปหลงเชียร์ข้างใดข้างหนึ่งจนประโยชน์ประเทศไทยเสียไป
พึงระลึกเสมอว่า สงครามคือความเดือดร้อนที่จะกระทบทั่วโลกรวมถึงตัวเราทุกคนด้วย..สงครามไม่ใช่การเชียร์มวย...”
5) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความว่า
“...ความขัดแย้งระหว่างมิตรประเทศของไทย มีความซับซ้อนที่เรายังคงต้องวาง “หลัก” ของตัวเองให้มั่น
ทุกประเทศมีความสำคัญทางเศรษฐกิจกับเราไม่ว่าจะเป็น EU สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และแม้กระทั่งยูเครน
ความขัดแย้งอันก่อให้เกิดสงคราม จึงมีผลกระทบกับเราไม่มากก็น้อย ตอนนี้ที่ปรากฏชัดคือ ราคานํ้ามันที่สูงขึ้น และราคาหุ้น (และคริปโต) ที่ลดลง หากยืดเยื้อ (หรือขยายวง) เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบแน่นอน!
ยูเครนเองมีความสำคัญทางเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่คิด ก๊าซจากรัสเซียส่งผ่านยูเครนไปยุโรป หากมีปัญหาจะส่งผลกระทบกับราคานํ้ามันในตลาดโลกได้ นอกจากนั้นยูเครนเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางอาหารมาก โดยเฉพาะเป็นผู้ผลิตข้าวสาลีที่สำคัญ รวมไปถึงปศุสัตว์และพืชอาหารชนิดอื่นๆ ว่ากันว่ายูเครนมีศักยภาพที่จะผลิตอาหารเลี้ยงมนุษย์ได้ถึง 600 ล้านคน
ดังนั้น หากความขัดแย้งครั้งนี้ยืดเยื้อ จะมีผลทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้นด้วย ซึ่งปัญหาเรื่องดินแดนเป็นปัญหาทั่วโลกมาช้านาน การอ้างประวัติศาสตร์ทำให้มีข้อถกเถียงเสมอ
ผมคิดว่าสำคัญที่สุดคือการ ‘อยู่กับปัจจุบัน’ การเอาชีวิตประชาชนเป็นที่ตั้ง และการยึดหลักสันติวิธี...”
6) อย่างไรก็ดี “ทิม-พิธา” ก็วกกลับมา “หล่อ” อีกครั้งในเฟซบุ๊ค ด้วยการโพสต์ข้อความว่า
“...รัฐบาลไทยต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย - ยูเครน และความขัดแย้งกับกลุ่มนาโต
ภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย ยูเครน และความขัดแย้งกับกลุ่มนาโต จะทำให้สภาพการณ์โลกที่แย่อยู่แล้วจากโอมิครอนและเศรษฐกิจฟุบเฟ้อ จะส่งผลกับประเทศไทยอย่างน้อย 3 มิติที่จะกระทบกับปากท้องประชาชนโดยตรง
1) ราคาพลังงาน แก๊สธรรมชาติและปุ๋ย 2) ราคาแร่ธาตุที่อุตสาหกรรมไทยต้องใช้ และ 3) ราคาอาหารสัตว์ กากถั่วเหลือง ข้าวสาลี
อาทิตย์ที่แล้ว ผมได้อภิปราย เตือน ซักถาม และเสนอแนะรัฐบาลไปแล้ว ว่าต้องคิดไปข้างหน้า และอีกอย่างที่สำคัญคือ ชีวิตคนไทยในยูเครน กว่า 250 ชีวิตที่ต้องได้รับการดูแลจากรัฐบาลไทยครับ...”
โดยสรุป :: นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ทิม-พิธา เล่นหล่อในโลกออนไลน์หมายโชว์และเอาใจแฟนคลับ ที่ส่วนมากอ่อนวัย อ่อนต่อโลก และอ่อนความรู้ความเข้าใจ พิธาจึงเน้นขายหลักการสวยหรู จนลืมว่า การมีหลักการนั้นดีแต่การเป็นคน “เจ้าหลักการ” โดยไม่เข้าใจ “โลกของการปฏิบัติ” นั้น ทำให้ทิม-พิธา เป็นแค่ “หนังสือปกสวย”ที่ยังห่างไกลจากความเป็น “มนุษย์ที่มีชีวิต” โดยเฉพาะชีวิตที่ถูกหล่อหลอมด้วย “ประสบการณ์จริง”
สำคัญที่สุดคืออาการ “ห่วงหล่อ” โดยเฉพาะหล่อด้วยถ้อยคำ วาทกรรมต่างๆ เพื่อจะนำไปสร้างอินโฟกราฟิกอวดโลกออนไลน์ แล้วคอยดูว่า กดไลค์เท่าไหร่ กดแชร์ไปเท่าไหร่ ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ไหม
เพลาๆ การเป็น “วีรบุรุษโซเชียล” มาลงมือปฏิบัติในโลกแห่งความเป็นจริง ทำอะไรที่ “เป็นชิ้นเป็นอัน” เป็น “ความสำเร็จ” และเป็น “รูปธรรม” ให้จับต้องได้ให้มากขึ้นดีกว่านะครับ คุณพิธา!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี