l วันเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. คือ วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕
จากวันนี้ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เหลืออีก ๑๓ วัน ถึงวันเลือกตั้ง เราชาวไทยและชาว กทม. ก็จะได้รู้แล้วว่า
ใครจะได้เป็นผู้ว่าฯกทม.
l ไม้เด็ด ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ในส่วนที่ปิดลับ ซ่อนเร้นฯก็จะปรากฏออกมา
-สิ่งที่งดงาม ดุจพระจันทร์เต็มดวงในยามราตรี ผู้สมัครฯก็จะเปิดออกมาให้ชม ความงามกัน
-สิ่งที่แอบซ่อนทำ ในความมืดก็จะถูกแสงอาทิตย์ส่องให้เห็นความจริงในเชิงประจักษ์
ผู้สมัคร ๗ คน ใน ๓๐ คน ที่ผ่าน กกต. มาเป็นผู้สมัครฯได้
จะเริ่มแสดงพลังของตนและเครือข่ายออกมา คือ
1.ผู้สมัครแต่ละคน ที่มีศักยภาพ มีบทบาทและคะแนนเสียงส่วนตน มากน้อยต่างกัน
2.“เครือข่าย หรือ บุคคล กลุ่มบุคคล ที่อยู่ข้างหลังหรือเบื้องหลัง” จะมีอะไร ที่เหนือกว่า
l การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งประวัติศาสตร์นี้ มีลักษณะพิเศษ
๑.เกิดขึ้นในยุคที่มีความขัดแย้งทางความคิดและแนวทางการต่อสู้ที่ยกระดับขึ้นสูง
ซึ่งอาจจะมีโอกาสพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์ หาก
(๑) ฝ่ายที่มีอำนาจอยู่ฯ มีการจัดการที่ไม่ถูกต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง ซึ่งเป็นลักษณะปกติของผู้ครองอำนาจฯ ที่จะใช้วิธีประนีประนอม ผ่อนคลาย ไม่เอาจริงในทุกฝ่าย รวมทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เพราะพวกเขาต้องรักษาดูแล “นาวาประเทศไทย” ให้แล่นต่อไปได้ขาดการให้ความสำคัญต่ออันตรายและภัยมหันต์ของพวกที่ “ทำลายนาวาประเทศไทย”
(๒) ฝ่ายที่ต้องการช่วงชิงอำนาจฯ ที่มีหลักคิด เอาความคิดความเชื่อและอคติของพวกตนนำเพราะมีความคิดความเชื่อเช่นนี้ เป็นหลัก และการขาดประสบการณ์ มองด้านเดียว มองเฉพาะตัวเอง
ด้านหนึ่ง มองพวกตน อยู่ในกระแสสูงของการเปลี่ยนแปลง มีพลังอำนาจ และมีประชาชนมากมายสนับสนุน (ซึ่งไม่เป็นความจริง)
แต่อีกด้านหนึ่ง ไม่คำนึงถึงผลเสียหายร้ายแรงที่มีต่อประชาชนและประเทศชาติ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตจึงทำได้ทุกอย่าง เพื่อทำลายล้าง แม้แต่การสนับสนุน ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา อังกฤษ ยิวฯ เพื่อให้เข้ามาแทรกแซงและทำลาย ผู้ครองอำนาจอยู่ ซึ่งความจริงคือประเทศไทยเพราะ มีความคิดผิดพลาดมหันต์ ที่ว่า “เป็นความเสียหายต่อผู้ครองอำนาจ แต่จะมีผลดีต่อพวกตน (และประชาชน ตามอ้าง)” ในอนาคต
๒.ไม่ได้นำเสนอเรื่องการเข้ามาเป็นผู้ว่าฯแล้วจะทำอะไรให้ชาว กทม. เพียงอย่างเดียวแต่มีการเชื่อมโยง การต่อสู้เรื่อง “ผู้ว่าฯกทม.” กับการทำลายรัฐบาลประยุทธ์ในเวทีรัฐสภา และการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึง
โดยในการหาเสียง จะนำเสนอ และปลุกระดมความคิด ต่อคนไม่รู้และขาดประสบการณ์ การใช้วาทกรรม สร้างกระแส ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ สถาบันหลัก และรัฐบาลพวกเขาจะทำทุกวิธีทั้งการเสนอความจริง (ด้านเดียว) ที่ใช้หลักคิดผิด เกิดผลเสียมากกว่าผลดีการนำเสนอความเท็จที่มีผลเสียหายต่อสถาบันฯ รัฐบาล
โดยทาง กกต. ละเลยไม่ใช้มาตรการทางกฎหมาย เอาผิด การสร้างฐานอำนาจและฐานเสียงลงในพื้นที่ต่างๆ ของ กทม. และประเทศไทยโดยการอ้างวาทกรรม “การกระจายอำนาจ ไปสู่ชาวบ้านและประชาชน” ซึ่งไม่มีโอกาสเป็นจริง เพราะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปโครงสร้างของประเทศก่อนเช่นนี้ อำนาจที่พวกเขาหวังจะได้ ก็จะไปตกกับพวกนักการเมืองของเขา เฉกเช่นเดียวกับ
สมัยทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ทำมาแล้ว
ไปไม่ถึงประชาชน ที่เป็นเพียงข้ออ้าง ให้ผู้คนที่ไม่รู้ และขาดประสบการณ์หลงเชื่อ
๓. การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ เกิดขึ้นในภาวะที่สังคมสับสน ซับซ้อน
รวมทั้ง ความอ่อนแอ และความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจการเงิน และสังคม ซึ่งทำให้ประชาชน ทุกข์ เดือดร้อน ยากจนลงในแทบทุกด้าน จากภาวะและสถานการณ์ โควิด-19 ที่เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี ๒๕๖๒ มาจนถึงปัจจุบัน เกิดวิกฤตทางการเมือง การต่างประเทศ เศรษฐกิจ การเงิน สังคม สุขภาพฯ ทำให้ “จิตใจของชาวบ้านอ่อนไหว อารมณ์ความคับแค้นปะทุออกมา ฯลฯ” เปิดโอกาสให้ “ฝ่ายไม่หวังดี” ใช้เป็นเหตุปัจจัย และโอกาสที่จักทำลายสถาบันหลักของสังคมไทย
@ ในภาวะเช่นนี้! เราต้องการผู้นำภาคส่วนต่างๆ : มีสติ เกิดปัญญา พิจารณาความจริง อย่าเอาเรื่องเฉพาะส่วน เฉพาะเรื่องที่เป็นข้ออ่อนของรัฐ มาเป็นเรื่องหลัก เราต้องการ การร่วมมือกันช่วยกันแก้ไขข้ออ่อน และผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้
โดยเฉพาะหลักการสำคัญ คือ การรักษาและปกป้อง“การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”ให้คงอยู่คู่ไทยไปตลอดกาล เพราะคือ สิ่งที่จะทำใประเทศไทยอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีและสง่างามและประชาชนชาวไทย มีความรักความสามัคคี และมีความสุขตลอดไป
l ขอกล่าวถึง “ลักษณะพิเศษ ที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครฯที่มีโอกาส” และประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งฯ
๑.ผู้สมัครฯ ที่มีบทบาทและมีคะแนนนำ ใน ๗ คน มีลักษณะพิเศษ
ทั้งในศักยภาพและบทบาทของตนเอง และกลุ่มผู้สนับสนุน ทั้งพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง และประชาชน กทม. ทั่วไป ผู้สมัคร ทั้ง ๗ คน ชาย ๖ และ หญิง ๑
(๑) ความเป็นชายหรือหญิง แทบไม่ค่อยมีผลต่อ “คะแนนที่จะได้รับ” เพราะไม่ได้แสดงศักยภาพ และการนำเสนอ
(๒) บทบาทของตัวบุคคล และพรรคการเมือง หรือกลุ่มที่สนับสนุน แม้ว่า ตัวบุคคลบางคนจะมีศักยภาพสูง แต่การแสดงบทบาท ทำได้ไม่เด่นพอและบางคนมีข้ออ่อนในเรื่อง “นโยบาย”ที่นำเสนอแทนที่จะได้คะแนน กลับเสียคะแนน เพราะ “คนรู้จริง” ไม่เชื่อว่าทำได้จริง
ฉะนั้น ผลประเมิน จึงออกมาในลักษณะนี้ คือ
-ตัวบุคคล ที่มีความโดดเด่น ที่ทำให้ได้คะแนนมากกว่าคนอื่นๆ มี ๒ คน คือ หมายเลข ๖ และ ๘
-พรรคการเมือง หรือกลุ่มที่สนับสนุน มีบทบาทสูง คือผู้สมัครหมายเลข ๑ ๓ ๔ และ ๑๑
-ตัวบุคคล และ ผู้สนับสนุน ที่ทำให้ได้คะแนน ใกล้กัน คือ หมายเลข ๗
(๓) ผู้สมัคร มีกรอบความคิด แบ่งออกเป็น ๒ ฝั่ง
- ฝ่ายแดง เบอร์ ๑ ๘ และ ๑๑
เบอร์ ๑ ออกจะแดงชัด จะได้คะแนนจากปีกที่แรงหน่อย
เบอร์ ๘ แม้เจ้าตัว แสดงออกเป็นอิสระ แต่ผู้สนับสนุนและพรรคฯ มีภาพแดงชัดเจน
เบอร์ ๑๑ ออกแดง ทั้งเจ้าตัวและพรรคฯ
- ฝ่ายเหลือง เบอร์ ๓ ๔ และ ๖
เบอร์ ๓ คะแนนที่เป็นหลักมาจากพรรค แต่การแสดงออกก้ำๆ กึ่งๆ
เบอร์ ๔ ออกเหลือง ทั้งเจ้าตัว และกลุ่มผู้สนับสนุนที่เคยมีบทบาทสูง
เบอร์ ๖ เหลืองที่ไม่แสดงตัว แต่กลุ่มในสังกัด และพรรครัฐบาล จะเทคะแนนให้ฝ่ายที่ไม่ชัด เบอร์ ๗ จะได้คะแนนจากบทบาทของเจ้าตัว และกลุ่มสนับสนุนบางส่วน
๒. ประชาชน ผู้เลือก มีลักษณะทั้งพิเศษ และเหมือนการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ
(๑) การเลือกจะพิจารณา จากกรอบความคิดเป็นหลักสำคัญประการ ๑
(๒) ทำให้คะแนนจะตรงไป ใน ๒ ฝ่าย
(๓) ผู้สมัครบางคน พยายามใช้คุณลักษณะพิเศษ ในการดึงคะแนนจากฝ่ายเป็นกลาง
(๔) คะแนนของผู้มีสิทธิครั้งแรก ในรอบหลายปี ประมาณ ๗ แสนคน คะแนนจะกระจายไปตามผู้สมัคร ที่สร้างกระแสให้ตนเอง ทั้งตัวจริง และดราม่า
-กลุ่ม Hard Core ประมาณ ๕ %น่าจะเทไปยัง ผู้สมัครแดง เบอร์ ๑
-กลุ่มอิสระ จะชอบผู้สมัครดราม่าที่ถึงใจ
-กลุ่มที่ตามพ่อแม่ น่าจะไปยังฝ่ายเหลืองมากกว่า
-กลุ่มที่เหลือจะเอาเพื่อนว่า
(๕) คะแนนของฝ่ายหญิง ที่มากกว่า ฝ่ายชาย ๓ แสนกว่าคะแนน จะไม่ใช้ “ความเป็นหญิงเป็นชาย” เป็นตัวเลือก
l ผู้นำและผู้มีบทบาททางการเมือง และสื่อฯ เริ่มแสดงทัศนะของตนออกมา ให้กับผู้สมัครและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ ที่แตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ และไม่ธรรมดาเลย เช่น
1 พ.ค. 2565 - นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ
ขอสนับสนุน Strategic vote คือ การเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ หมายถึง การพร้อมใจกันเลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือนักการเมืองคนใดคนหนึ่งให้ชนะการเลือกตั้ง โดยให้เหตุผลที่อิงสภาพความเป็นจริง คือ
๑.เพื่อไทย ก้าวไกล-ก้าวหน้า
เขาคิดกันมาอย่างรอบคอบแล้วว่า “แลนด์สไลด์” หรือ SV (Strategic vote) เท่านั้นที่จะสามารถชนะการเลือกตั้ง ทำให้ครอบครองอำนาจและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
สุดท้ายเขาได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.
แล้วต่อไป เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้เป็นรัฐบาล
๒.แล้วฝ่ายเราจะเป็นยังไง หากเสียงแตก
โดยไปลงคะแนนให้พรรค หรือคนที่เราเชียร์แล้ว ผู้สมัครที่เรากระจายเสียงไปลงให้ ก็จะไม่ได้รับเลือกตั้ง พวกเขาก็จะได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. ไป
แล้ว ประเทศชาติจะเปลี่ยนแปลงไปทางไหน
สถาบันพระมหากษัตริย์ จะถูกลดทอนหรือถูกล้มล้างหรือไม่
ไม่คิดกันบ้างเลยหรือ? เราจะคิดกันด้วยเหตุผล เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและชาติบ้านเมือง
ต้องประเมินหรือดูกันที่ผลสำรวจว่า ผู้สมัครคนใดในฝ่ายเราที่มีคะแนนนิยมสูงสุดเราก็พร้อมใจกันเทคะแนนให้เขา เพื่อเขาจะได้เป็นตัวแทนของคนฝ่ายเรา (อีกด้านหนึ่ง ผู้สมัครฯ ควรประเมินคะแนนตัวเอง หากไม่มีโอกาส ควรจะถอยไป)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี