นายอีลอน มัสก์ นักธุรกิจเจ้าของกิจการโทรคมนาคม สเปซ เอ็กซ์ และรถยนต์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งยุคของสหรัฐ กำลังเป็นข่าวโด่งดังในโลกเนื่องจากได้ออกคำสั่งให้พนักงานทุกคนในสังกัดทุกองค์กรของนายอีลอน มัสก์ ต้องเข้าทำงานที่บริษัทอย่างน้อยสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนก็ให้พ้นจากความเป็นพนักงานและรีบให้รับพนักงานใหม่เข้าทดแทนทันที
นายอีลอน มัสก์ เป็นคนหนุ่มที่มีความเฉลียวฉลาดมากที่สุดแห่งยุค เป็นอัจฉริยะบุรุษแห่งยุค และประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัย เพราะด้วยวัยเพียงไม่กี่ปีในวัยหนุ่มก็สามารถก้าวสู่ความเป็นอัครมหาเศรษฐีระดับต้นของสหรัฐ และเป็นเจ้าของกิจการที่ก้าวหน้าที่สุดที่เป็นอนาคตของธุรกิจของสหรัฐและของโลก
กระทั่งมีการคาดการณ์กันว่านายอีลอน มัสก์ คือเด็กปั้นของ Deep State ของสหรัฐ ที่กำลังถูกก่นสร้างเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐในเวลาอันไม่ไกลดีไม่ดีก็อาจจะในสมัยหน้า เพราะสหรัฐมีคนแก่เป็นประธานาธิบดีสองคนติดต่อกัน เป็นคนแก่ที่เลอะเทอะและสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้แก่สหรัฐ ถึงขนาดอาจทำให้ชาติล่มจม
การที่สหรัฐมีคนแก่เป็นประธานาธิบดีต่อเนื่องกันสองคน ในขณะที่ยุคสมัยของโลกมีผู้นำรุ่นหนุ่มหรืออย่างมากก็รุ่นราว 60-75 ปี ดังนั้น เมื่อผู้นำสหรัฐอยู่ในสังคมของผู้นำประเทศต่างๆ ทำให้สหรัฐกลายเป็นประเทศคนแก่
มีภาพลักษณ์ของคนแก่ ซึ่งสร้างความอัปยศในใจให้แก่ชาวอเมริกันเป็นอันมาก
แม้กระทั่งในการบริหารบ้านเมือง เมื่อประธานาธิบดีเป็นคนแก่ บรรดาคณะทำงานสำคัญก็จะไว้วางใจให้คนที่
สนิทสนมกันรับหน้าที่ และคนเหล่านี้ก็มักจะเป็นคนแก่รุ่นราวคราวเดียวกัน จึงยิ่งเกิดความอัปยศอดสูมากขึ้นไปอีก
ดังจะเห็นได้จากการประชุมทางการค้าครั้งหนึ่งระหว่างคณะผู้แทนของจีนกับคณะผู้แทนของสหรัฐ ปรากฏว่าคณะผู้แทนจีนเป็นคนรุ่นหนุ่มสาวที่อายุมากที่สุดก็แค่ 55 ปี ในขณะที่คณะผู้แทนของสหรัฐล้วนเป็นคนแก่ มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นส่วนใหญ่ บางคนก็มีอายุ 70 ปีเศษ
จึงเป็นที่เย้ยหยันของชาวโลก ในขณะที่พวกนักประวัติศาสตร์หรือนักการ์ตูนตลกก็ไปจัดทำคอลัมน์เยาะเย้ยถากถางโดยนำเอาภาพการเจรจาระหว่างคณะผู้แทนจีนกับคณะผู้แทนสหรัฐในยุคสมัยราชวงศ์ชิงตีพิมพ์เผยแพร่ให้ได้อายไปทั่วโลก
เพราะในภาพที่เปรียบเทียบกันนั้นการเจรจาในยุคสมัยราชวงศ์ชิง คณะผู้แทนสหรัฐล้วนเป็นคนหนุ่มสาว หัวหน้าคณะก็อายุราว 50 ปี ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการเจรจาการค้าในยุคสองประธานาธิบดีคนแก่ของสหรัฐ
เพราะเหตุนี้นายอีลอน มัสก์ จึงเป็นไอดอลของคนหนุ่มสาวและเยาวชนคนรุ่นใหม่ทั่วโลก จะคิดอ่านทำการสิ่งใด
หรือจะพูดจาสิ่งใดก็จะเป็นแบบอย่างให้คนอื่นเอาตาม ดังนั้น เมื่อจู่ๆ นายอีลอน มัสก์ ในฐานะผู้บริหารสูงสุดขององค์กรมาออกคำสั่งให้พนักงานทุกคนที่เคยได้รับอนุญาตให้ Work from Home ตั้งแต่เริ่มระบาดของไวรัสเมื่อสองปีกว่ามาแล้วต้องเข้ามาทำงานที่บริษัทไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ40 ชั่วโมง จึงทำให้เป็นข้อคิดสะกิดใจของนักธุรกิจทั่วโลกว่าเกิดอะไรขึ้น
จากการติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็พบว่าการที่คนระดับนายอีลอน มัสก์ มาออกคำสั่งในลักษณะเฉียบขาดและไม่ยอมให้มีข้อต่อรอง คือพนักงานคนใดไม่ปฏิบัติก็ให้พ้นจากหน้าที่ในทันทีและรีบหาคนใหม่มาทดแทนนั้น มีต้นเหตุที่อันตรายร้ายแรงต่อการบริหารธุรกิจและการบริหารกิจการทั้งหลายอย่างลึกซึ้ง ถึงขนาดที่เกิดหายนะแก่กิจการได้โดยไม่ทันรู้ตัว
มูลฐานที่นายอีลอน มัสก์ ต้องออกคำสั่งให้พนักงานทุกคนต้องเข้าทำงานที่บริษัทไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงนั้นมีเหตุปัญหาที่สำคัญดังต่อไปนี้
ประการแรก นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กิจการของนายอีลอน มัสก์ เป็นกิจการระดับแนวหน้าของโลกที่ออกคำสั่งให้พนักงาน Work from Home คือให้ทำงานที่บ้านของตนเองได้โดยไม่ต้องเข้ามาที่บริษัทเลย ยกเว้นพนักงานที่มีหน้าที่จำเป็นที่ไม่อาจทำงานแบบ Work from Home ได้ ก็ต้องทำงานที่บริษัทตามปกติ
ประการที่สอง ผลจากการออกคำสั่งให้พนักงาน Work from Home นั้นทำให้กิจการแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มพนักงานทั่วไปที่ถูกสั่งให้ Work from Home ซึ่งมีปริมาณ 80% ของพนักงานทั้งหมด และมีพนักงานอีก 20% ที่มีความจำเป็นต้องทำงานที่บริษัท เพราะลักษณะงานไม่สามารถทำงานแบบ Work from Home ได้ จึงทำให้พนักงานแบ่งออกเป็นสองพวก และพนักงานที่ต้องมาทำงานที่บริษัทรู้สึกและเข้าใจว่าตัวเองไม่มีอภิสิทธิ์หรือสิทธิ์ที่จะทำงานแบบ Work from Home แต่ต้องทำมานั่งทำงานที่บริษัท ความรู้สึกนี้ค่อยๆ ก่อเกิดเป็นความไม่สบายใจ ไม่พอใจ และเห็นว่าเป็นการทำงานที่ต่ำต้อยด้อยค่า ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
ประการที่สาม สำหรับพนักงานที่ทำงานแบบ Work from Home ในระยะเริ่มแรกก็ทำงานได้ดี แต่พอนานวันเข้าก็ใช้เวลาในเวลาทำงานๆ อย่างอื่น หรือทำกิจกรรมส่วนตัวแม้กระทั่งทำกิจการส่วนตัว หรือทำกิจการร่วมกับผู้อื่น หรือรับงานไซด์ไลน์มาทำ แล้วติดอกติดใจในการทำงานแบบนี้ ไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงการทำงานแบบ Work from Home ต่อไป
ก็เป็นวิสัยของปุถุชน เมื่อมีกิจกรรมหรือกิจการอื่นเข้ามาแทรกหรือแม้แต่การใช้เวลาไปเพื่อความสุขส่วนตัวและครอบครัวก็มีความติดอกติดใจและต้องการทำงานแบบ Work from Home ตลอดไป ในขณะที่การทำงานในหน้าที่ก็เริ่มด้อยคุณภาพลง เริ่มล่าช้า ไม่เสร็จตามกำหนดเวลา ซึ่งกระทบต่อการทำงานกับพนักงานคนอื่น จึงยิ่งทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดน้อยถอยลงโดยลำดับ จนเกิดเป็นปัญหาขององค์กรขึ้น
ประการที่สี่ เมื่อมีการพบปัญหาเหล่านั้นก็มีการสั่งให้ลดเวลาการ Work from Home ลง แต่ปรากฏว่าพนักงานที่ Work from Home ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับคำสั่ง และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ยังคงทำงานแบบ Work from Home ต่อไปโดยไม่ไยดี บางคนก็ถือโอกาสลาออกจากงานไปเสียเลย ทำให้เกิดปัญหาในการถ่ายโอนงาน
เมื่อสภาพปัญหาเกิดขึ้นเช่นนั้น นายอีลอน มัสก์ ก็ให้คณะวิจัยทำการศึกษาวิจัยสาเหตุและพัฒนาการของปัญหานี้ ตลอดจนหนทางแก้ไข
ในที่สุดก็พบว่าลักษณะของปัญหาชนิดนี้มีแต่จะรุนแรงและขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปนานเท่าใดหากมีคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงการทำงานพนักงานก็จะลาออกจากงาน และส่งผลกระทบต่อการถ่ายโอนงานและการมอบหมายงานให้พนักงานใหม่ กระทั่งเห็นว่าถ้าปล่อยให้สภาพเช่นนี้ดำเนินต่อไป ในสักวันหนึ่งก็จะไม่มีใครทำงานให้กิจการ
และยังตรวจพบด้วยว่าเกิดปัญหาความแตกแยกขึ้นภายในองค์กรอย่างรุนแรงเพราะพนักงานที่ทำงานประจำอยู่ที่สำนักงานก็ทยอยลาออกเพราะน้อยเนื้อต่ำใจและเกิดเป็นสภาพปัญหารวมของทั้งองค์กร หากไม่ได้รับการแก้ไขหายนะก็จะเกิดขึ้นกับองค์กรในไม่ช้าไม่นาน
ทำให้เกิดความตกใจขึ้นจากการคาดคิดไม่ถึงสภาพของปัญหานี้ ดังนั้น จึงกำหนดมาตรการและทางออกขึ้น โดย
การประกาศรับพนักงานรุ่นใหม่จำนวนมากเตรียมสำรองไว้อย่างเพียงพอ
จากนั้นจึงมีคำสั่งชนิดเด็ดขาดไม่มีการต่อรองใดๆ ให้พนักงานทุกคนที่ Work from Home กลับเข้ามาทำงานที่บริษัทไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง โดยผ่อนผันสำหรับหน้าที่งานบางอย่างที่มีความจำเป็นให้ทำงานแบบ Work from Home ได้สัปดาห์ละไม่เกิน 8 ชั่วโมง แต่ต้องได้รับการตรวจสอบและพิจารณาอย่างละเอียดและได้รับการอนุญาตก่อน
การออกคำสั่งดังกล่าวได้เกิดขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วและคาดหมายว่าจะมีพนักงานที่ทำงานแบบ Work from Home ลาออก 30-40% หรืออาจจะถึง 65% ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเกิดผลกระทบระยะสั้นแก่องค์กรโดยรวม
นั่นคือตัวอย่างและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในสหรัฐอเมริกา และเมื่อเป็นระบบความคิดในการมองเห็นปัญหาและในการแก้ไขปัญหาของคนระดับนายอีลอน มัสก์ จึงเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ เพราะประเทศไทยของเราก็มีการ Work from Home ในลักษณะเดียวกันเป็นจำนวนมากขึ้น และในสักวันหนึ่งปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในกิจการของนายอีลอน มัสก์ และในสหรัฐอเมริกาก็อาจเกิดขึ้นกับกิจการต่างๆ ของประเทศไทยก็ได้
และปัจจุบันนี้ก็มีเรื่องราวปรากฏว่าพนักงานที่ Work from Home ในประเทศไทยก็เริ่มมีพฤติกรรมและเหตุการณ์ไม่ต่างกันกับการ Work from Home ในสหรัฐ ดังนั้นเมื่อนายอีลอน มัสก์ ได้เห็นปัญหานี้และได้แก้ไขปัญหานี้แล้วเป็นครั้งแรก จึงควรที่องค์กรธุรกิจทั้งหลายในประเทศไทยควรที่จะพิจารณาศึกษาและกำหนดแผนการแก้ไขเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี