สมแล้ว ที่ในโลกออนไลน์ได้มีการล้อเลียนนักการเมืองพรรคเพื่อไทย ช่างกล้าเคลมเอาผลงานรัฐบาลที่พรรคตัวเองต่อต้านหนักหนา ไปอวดอ้างเพื่อหาเสียงแบบหน้าตาเฉย!!!
1. ป้ายหาเสียงของ นายชาญยุทธ เฮงตระกูล อดีตสส.ชลบุรี พรรคเพื่อไทย และอดีตแกนนำ นปช.เสื้อแดงภาคตะวันออก ระบุข้อความว่า EECภาคตะวันออก เพื่อคนไทยทั้งประเทศ เพื่อไทย เพื่อประชาชนคนไทยทุกคน
ในโลกออนไลน์ได้นำภาพป้ายมาโพสต์และแสดงความเห็นกันอย่างคึกคัก ขบขัน อิดหนาระอาใจ
ส่วนใหญ่บอกว่า เป็นการเคลมผลงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ อาทิ “พรรคเพื่อเคลม” “ด้านได้อายอด” “ด่าเขาแทบตายสุดท้ายก็เคลม” “ลุงตู่คิด รัฐบาลทำ เพื่อไทยเคลม” ฯลฯ
2. เพจการเมืองดัง The Mettad นำป้ายหาเสียงดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับความเห็นของแกนนำและสส.พรรคเพื่อไทย ที่เคยตำหนิโครงการอีอีซีของรัฐบาล อาทิ
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาฯพรรคเพื่อไทย ที่เคยวิจารณ์พ.ร.บ.EEC ว่าเสียเปรียบชาวต่างชาติและนักลงทุนต่างชาติหลายอย่าง จนมีนักวิชาการหลายคนมองว่าเป็นพ.ร.บ.ขายชาติ,
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่บอกว่า โครงการ EEC สร้างปัญหา ทำลายวิถีชีวิต ทำลายอาชีพที่ส่งต่อคนรุ่นสู่รุ่น รัฐบาลควรทบทวนใหม่บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของประชาชน ฯลฯ
เป็นที่น่าเวทนา.... ฝ่ายค้านใช้วิธีโจมตี สาดโคลนสารพัด แต่พอผลงานเริ่มปรากฏ มีกระแสนิยมในพื้นที่ กลับไปหยิบเอาโครงการนั้น มาใช้หาเสียงแก่พรรคตนเอง!!!!
3. แนะนำพรรคฝ่ายค้าน... ถ้าอยากจะหาเสียงแบบนี้อีก ขอให้ติดตามเพจ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” เมื่อไหร่ที่นายกฯ อธิบายแจกแจงความคืบหน้าผลงานรัฐบาล ก็สามารถหยิบไปใช้หาเสียงได้ทันที แค่เอาไปเคลมว่าเป็นผลงานของตนเอง อย่าบอกประชาชนว่าเป็นผลการทำงานอย่างหนัก ท่ามกลางการดิสเครดิต โจมตี ขัดแข้งขัดขาของฝ่ายค้าน
ประชาชนยุคใหม่ ไม่ใช่ของตายของใคร ไม่ใช่คนหูหนวกตาบอด ย่อมสามารถจะติดตามข่าวสารโดยตรง ว่าใครทำอะไร ใครเคยแสดงจุดยืนอย่างไร ใครโกหกบิดเบือนอะไรไว้บ้าง
อย่างกรณีความคืบหน้าของ EEC นายกฯ พลเอกประยุทธ์ ก็ได้อัปเดตรายงานประชาชนคนไทยโดยตรงไว้อย่างน่าสนใจ ระบุว่า
“พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ
วันนี้ (15 ส.ค.65) ผมมีภารกิจสำคัญในการวางรากฐานการพัฒนาของประเทศไว้ให้ทุกคน ในอีกมากกว่า 10 ปีข้างหน้า นั่นคือ การขับเคลื่อน “โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC ให้สอดคล้องกับการพัฒนาของโลกในอนาคตของลูกหลานของเรา ซึ่งจะเป็นการนำบทเรียนในอดีตมาสร้างรูปแบบการพัฒนาใหม่ ให้มีความสมดุล โดยจะต้องไม่เป็นเพียงการพัฒนาทางวัตถุอย่างเดียว แล้วละทิ้งการพัฒนาความเป็นมนุษย์ ให้เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมตามมาในภายหลัง
ในครั้งนี้ ได้มีการสรุปผลการดำเนินการของ EEC ช่วงปี 2561-2565 ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า เราประสบความสำเร็จในทุกๆ เป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ เช่น
1. การกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ เช่น รถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน ท่าเรือมาบตาพุด ท่าเรือแหลมฉบัง และสนามบินอู่ตะเภา รวมแล้วกว่า 6.55 แสนล้านบาท ในรูปแบบการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน หรือ PPP ที่เน้นเม็ดเงินจากภาคเอกชนไทยเป็นหลัก (64%) ที่จะช่วยประหยัดงบประมาณแผ่นดินให้สามารถนำไปใช้ในกิจการ หรือสวัสดิการอื่นๆ
2. การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเริ่มมีการลงทุนแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท เช่น (1) บริษัท Great Wall Motor ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของประเทศจีน มาตั้งฐานการผลิตรถ EV เบื้องต้น 80,000 คัน/ปี เงินลงทุนสูงถึง 2.2 หมื่นล้านบาท เกิดการจ้างงานในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 3,000 ตำแหน่ง และยังเชื่อมโยงกับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอีกด้วย (2) บริษัท EVLOMO ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของอาเซียน เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง มูลค่าการลงทุนกว่า 3.3 พันล้านบาท สร้างอาชีพในพื้นที่กว่า 3,000 ตำแหน่ง (3) บริษัท โซนี่พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ร่วมกับบริษัท อเมซอน ฟอลส์ จำกัด เตรียมเปิดสวนสนุกและสวนน้ำ “โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส” แห่งแรกของโลกใน EEC ภายในปี 2565 นี้ เป็นต้น
3. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และแรงงานทักษะสูง ป้อนภาคการผลิตของประเทศอย่างตรงเป้าหมาย ด้วยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือของภาครัฐ กับ 26 สถาบันการศึกษาและวิจัย และผู้นำภาคธุรกิจชั้นนำของโลก เช่น (1) Huawei Academy (2) Cisco Training Center ตลอดจน Toyota - Delta - BMW - SCG เป็นต้น ซึ่งจะเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี องค์ความรู้ที่ทันสมัย เพื่อระดมสร้างนวัตกรคลื่นรุ่นใหม่ให้กับประเทศ
4. การเชื่อมโยงผลประโยชน์ให้ตกถึงประชาชนและชุมชนในพื้นที่ ในการยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างงาน สร้างรายได้ในท้องถิ่นของตน โดยไม่ต้องไปแสวงโชคในเมืองใหญ่ และไม่ทิ้งมลพิษ ขยะมูลฝอย ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนการทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่ง EEC นี้ รัฐบาลมุ่งหวังที่จะให้เป็นโมเดลการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อนำไปขยายผลในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศต่อไป
แม้ว่าการปิดประเทศจากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา จะทำให้อัตราการขยายตัวของ EEC นั้นชะลอตัวไปจากเป้าหมายเดิม แต่ในปัจจุบัน เราได้กลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง จากความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์การระบาด และความมีเสถียรภาพของสถานะทางการคลังของเรา ทำให้มั่นใจได้ว่า ช่วงปีหน้า 2566-2570 จะเป็นช่วงการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ได้ถึง 7-9% ต่อ GDP ซึ่งจะผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศโตขึ้นในอัตรา 5% ต่อปี
ผมขอเรียนกับพี่น้องประชาชนชาวไทยว่า แม้ว่าสถานที่ตั้งของ EEC จะอยู่ที่ภาคตะวันออก แต่ผลประโยชน์ล้ำค่าที่จะเกิดขึ้นนั้น จะตกถึงพี่น้องประชาชนไทยทั่วทั้งประเทศอย่างแน่นอน ทั้งในระดับมหภาค นั่นคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ เม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้ามา รวมทั้งการเกิดธุรกิจ การจ้างงานเพิ่มขึ้นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง และในระดับภูมิภาค ที่จะเกิดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ เดินทางเข้ามาลงทุน จับจ่ายใช้สอยในประเทศไทย และการขยายสาขาของบริษัทขนาดใหญ่ลงไปในศูนย์กลางภูมิภาคต่างๆ ซึ่งเมื่อผนวกกับมรดกวัฒนธรรมและ Soft Power ที่ไทยเรามีอย่างมากมาย จะนำพาให้ไทย กลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสมัยใหม่ระดับชั้นนำ ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกได้ในไม่ช้านี้อย่างแน่นอนครับ”
น่าอนาถใจ... ถ้าไม่ใจกล้าหน้าด้านจริงๆ คงไม่กล้าเคลมเอาสิ่งที่พรรคพวกตนเองด่าโจมตีขัดขวางไว้ มาอวดเป็นผลงานหาเสียงให้ตัวเอง เหมือนนักการเมืองฝ่ายค้านยุคนี้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี