นายบุญยอด สุขถิ่นไทย อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ นิยามความพยายามจัดชุมนุมไล่นายกรัฐมนตรีของคนหลายกลุ่ม หลายฝ่ายว่า... “ไม่ต่างจากการชุมนุมก่อนที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพประชุม “อาเซียนซัมมิต” พัทยา
ตอนนี้ไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพ ประชุม “เอเปก” 20 ปี เวียนเจ้าภาพมาครั้งเดียว แค่คนคนหนึ่งเห็นรัฐบาลไหนมีผลงานไม่ได้!?!? ก็ปลุกระดม ยัดเหยียดความเกลียดชัง และ ข้อกล่าวหาแบ่งแยกประชาชน ให้รัฐบาลบริหารบ้านเมืองสงบไม่ได้!!!! เรากำลังวนไปแบบเดิมๆ
และเขารอดูความสำเร็จในการทำลายชาติ!!!!
คอลัมน์ทวนกระแสข่าว เห็นด้วยกับคุณบุญยอดโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ว่า “แค่คนคนหนึ่ง เห็นรัฐบาลไหนมีผลงานไม่ได้!?!? ก็ปลุกระดม ยัดเยียดความเกลียดชัง และข้อกล่าวหาแบ่งแยกประชาชนให้รัฐบาลบริหารบ้านเมืองสงบไม่ได้!!!!
คนคนหนึ่งที่ว่านั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก นักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ปล้นชาติอาฆาตพยาบาทสถาบันผู้ลั่นวาจาว่า“ถ้ากูอยู่ไม่เป็นสุข อย่าได้หมายว่าประเทศไทยจะอยู่เป็นสุข..”
จากพฤติกรรมของสมุนบริวาร ที่สร้างวาทกรรมเกลียดชังขึ้นในชาติ เช่นคำว่า “นายกฯเถื่อน..นายกฯโจร..นายกฯที่กลายเป็นทรราชหลัง 00.00 น. ของวันที่ 23 สิงหาคม..”
สมุนบริวารมีพฤติกรรมไม่เคารพกฎหมาย เหมือนเจ้านายเคยทำในอดีต คือ กดดันศาลโจมตีรัฐบาลโดยปราศจากหลักฐานในเชิงประจักษ์
นายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำพรรคฝ่ายค้าน รวบรวมรายชื่อ สส.172 คน ลงชื่อร่วมกันให้ประธานรัฐสภา ส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาว่านายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ครบวาระแปดปี ตามที่ฝ่ายค้านได้ตีความตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 บางมาตราหรือไม่ คือครบวาระ
ในวันที่ 24 สิงหาคม
แต่วันที่ 23 สิงหาคม นายชลน่าน กลับพูดกับสื่อมวลชนในสภาขณะแถลงข่าวว่า..“ที่เราเสนอไป ก็แค่ขอให้ท่านยอมรับในหลักนิติธรรมเท่านั้น คือ การปฏิบัติตามกฎหมายที่เขียนไว้”
โดยท่านควรเป็นคนตัดสินใจเอง#ไม่ควรให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือประชาชนเป็นผู้ตัดสิน...ฯลฯ.....
นายชลน่านพูดว่า “ไม่ควรให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือประชาชนเป็นผู้ตัดสิน..ฯลฯ”
วันที่ 24 สิงหาคม ศาลฯมีคำสั่งให้พลเอกประยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่ามีคำวินิจฉัย นายชลน่าน ก็ยังยืนยันให้นายกฯลาออก..“เราไม่ต้องการแสดงท่าทีกดดันศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าพลเอกประยุทธ์ ลาออก ทุกอย่างก็จบ ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ต้องรับภาระและก็จะเป็นความสวยงามของรัฐธรรมนูญ ผมเชื่อว่าประชาชนก็จะชื่นชอบ.......”นายชลน่านกล่าว
นั่นหมายว่า ผู้นำพรรคฝ่ายค้านส่งเรื่องผ่านประธานสภาไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีความประสงค์ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความแต่อย่างใด เพียงส่งไปเป็นข้ออ้างว่า ถึงกำหนดเวลาเรียกพลเอกประยุทธ์ว่า “นายกฯเถื่อนได้แล้ว”
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไปออกรายการเรื่องใหญ่วันนี้ของพีพีทีวี ก็พูดในทำนองเดียวกันว่าไม่ต้องการเห็นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ตนเชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ให้คนเขียนรัฐธรรมขึ้นมากับมือแล้วลบด้วยตีน นายจตุพรยกเอาประเด็นที่พลเอกประยุทธ์ ถวายสัตย์ปฏิญาณฯไม่ครบถ้วนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้น มาโจมตีทางหน้าจอทีวีว่าพลเอกประยุทธ์กระทำการขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่ศาล รธน.ได้พิจารณากรณีถวายสัตย์ฯไปแล้วว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
นายศุภศิษฐ์ ลีฬหปิยรัตน์ สส. พรรคก้าวไกล แถลงที่สภาว่า“หลังวันที่ 23 ส.ค.ให้ฝ่ายค้านทั้งหมดไม่ร่วมประชุมสภาด้วยการลาออกทั้งหมด ถ้าไม่ลาออกเท่ากับรับรอง สนับสนุนนายกฯ ต่อไป”
นาย ส.ศิวรักษ์ ผู้สนับสนุนคนเสื้อแดง และ กลุ่มสามกีบ ที่ศาลรธน.มีมติแล้วว่าคนกลุ่มนี้มีจุดมุ่งหมายทำลายสถาบันสูงสุดของชาติ โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“ถ้านำอริยสัจ 4 มาประยุกต์ใช้ ต้นเหตุแห่งทุกข์นั้น ไม่ว่าจะทุกข์ทางสังคม โดยเฉพาะคนยากคนจนมีความทุกข์มาก เหตุแห่งทุกข์มาจากไหน ?...เหตุแห่งทุกข์ก็มาจากประยุทธ์! เพราะประยุทธ์เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์..ฉะนั้น วิธีที่จะดับทุกข์ได้ก็ต้องเอาประยุทธ์ออกไป
การจะดับทุกข์ได้ ต้องมีอริยมรรค มีองค์ 8 ต้องใช้สันติประชาธรรม ไปใช้ความรุนแรงกับประยุทธ์ไม่ได้หรอก เพราะประยุทธ์เป็นคนเลว เราจะเอาคนเลวไปต่อสู้กับคนเลวนั้น ไม่ถูกต้อง”
นาย ส.ศิวรักษ์ เคยถูกฟ้องคดีอาญาฐานละเมิดมาตรา 112 มาหลายครั้ง และ คำพูดที่สร้างความเกลียดชัง เช่นคำว่า..“เป็นคนเลว” คนรุ่นใหม่ ที่มีจุดมุ่งหมายทำลายสถาบันและพรรคฝ่ายค้าน ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมักเอาไปใช้อ้างอิงขยายความ
นอกจาก ผู้นำฝ่ายค้าน สส.จากพรรคก้าวไกล นายจตุพร นาย ส. ศิวรักษ์แล้ว ยังมี รุ้ง ปนัสยา จำเลยในคดีอาญามาตรา112 ที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอย่างมีเงื่อนไข และ จำเลยในคดีเดียวกันหลายรายออกมาเคลื่อนไหวขับไล่พลเอกประยุทธ์ครั้งนี้ด้วย ซึ่งพวกเขาเรียกว่า แม่น้ำร้อยสาย หากพูดแบบคำพังเพยไทยน่าจะเรียกว่า #ฝนตกขี้หมูไหลคน..ไรมาพบกันมากกว่า เพราะเหตุว่าคน..ไรที่มาพบกันหลายกลุ่มหลายฝ่ายมีพฤติกรรมเหมือนดังที่คุณบุญยอด โพสต์ข้อความว่า
“ไม่ต่างจากการชุมนุมก่อนที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอาเซียนซัมมิตที่พัทยา”
ถ้ายังจำกันได้ตอนนั้นสมุนบริวารของคนแดนไกลที่เห็นใครทำดีเกินหน้าไม่ได้ พากันออกมาชุมนุมสร้างวาทกรรมความเกลียดชัง โจมตีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ผู้สนับสนุนคนแดนไกลโกรธแค้นเกลียดชังนายอภิสิทธิ์ ชนิดที่เรียกว่า อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้
สมุนบริวารของสัมภเวสีหนีคุกเริ่มก่อกวนสร้างความวุ่นวายตั้งแต่เดือน ก.พ.2552 โดยกล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ ขัดขวางการขอนิรโทษกรรมให้นายทักษิณ ทั้งๆ ที่สมุนบริวารนายทักษิณรวบรวมรายชื่อคนใส่ตะกร้าแห่แหนกันมาว่า มีสามล้านกว่ารายชื่อ
และกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์สมคบกับทหารปล้นการเป็นรัฐบาลมาจากพรรคพลังประชาชนของคนแดนไกล กล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ว่าตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร นอกจากนั้นกล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ทำตามคำสั่งของรัฐบุรุษผู้ล่วงลับ ที่สัมภเวสีหนีคุกกล่าวหาว่าขัดขวางแทรกแซงการทำงานของเขา และเป็นผู้บงการให้ทหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
สมุนบริวารสัมภเวสีหนีคุกตอนนั้นสร้างวาทกรรมเกลียดชังปลุกระดมใส่ร้ายรัฐบุรุษผู้ล่วงลับกับใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ จนคนบางกลุ่มเกิดความเกลียดชังโกรธแค้นที่ต้องทำลายสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ทำให้ได้
การปลุกระดมสร้างความเกลียดชังรัฐบุรุษผู้ล่วงลับถึงจุดเดือดประมาณปลายเดือนมีนาคม 2552 เพียงไม่ถึงสองสัปดาห์ก่อนจัดประชุมอาเซียนซัมมิตที่พัทยา
หากไม่เชื่อว่าบรรดาสมุนบริวารคนแดนไกล ปลุกปั่นความเกลียดชังได้อย่างไร แนะนำให้ไปถามแรมโบ้อีสาน หรือ นายสุพร อัตถาวงศ์ ว่า ตอนนั้นเขาโกรธแค้นถึงขนาดประกาศว่าจะแขวนคอใครในสนามหลวง
เมื่อคนในเครือข่ายและสมุนบริวารของสัมภเวสีหนีคุกโกรธแค้นถึงจุดเดือดปรอทแตก ประกอบกับท่อน้ำเลี้ยงที่ทะลักเข้ามาทำให้สมุนบริวารพอใจถึงขนาดตายแทนได้
วันที่ 7 เมษายน 2552 รถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่นายอภิสิทธิ์นั่งอยู่ข้างในจึงติดไฟแดงที่สี่แยกที่ซอยเทพประสิทธิ์ในเมืองพัทยา และบังเอิญคนเสื้อแดงสามสี่สิบคน ยืนออรอกันอยู่ที่ไฟแดงนั้นพอดี นายอภิสิทธิ์ที่ไปตรวจความพร้อมในการจัดประชุมอาเซียนซัมมิต ซึ่งจะมีขึ้นอีกสามวันข้างหน้า รถที่นายอภิสิทธิ์
นั่งถูกคนเสื้อแดงล้อมกรอบถูกขว้างปาคนเสื้อแดงหวังรุมทำร้าย แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยช่วยไว้ได้โดยย้ายนายอภิสิทธิ์ไปขึ้นรถอีกคัน
นายประมวล เอมเปีย สส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ (ในเวลานั้น) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้รุมทุบกระจกรถนายกรัฐมนตรีรวมทั้งขว้างปาขวดน้ำที่บริเวณซอยเทพประสิทธิ์ พัทยา ว่าการอารักขาผู้นำของประเทศจะต้องมีมาตรการรัดกุม การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ถือว่าตำรวจในพื้นที่หละหลวมในการอารักขาเส้นทางที่นายกรัฐมนตรีเดินทางผ่าน ทั้งๆ ที่รู้ว่าตำรวจเสื้อแดงในพัทยาเต็มไปหมด และยังให้การช่วยเหลือกลุ่มคนเสื้อแดงอีกด้วย
“อยากถามนายสุเทพ (สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง) จะต้องมีมาตรการขั้นเด็ดขาดไหม ทางที่ดีควรย้ายตำรวจในพื้นที่ สภ.บางละมุง และ สภ.พัทยาออกมา เพราะในช่วงวันที่ 10-12 จะมีการประชุมสุดยอดอาเซียน หากมีเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดผลกระทบต่อเมืองพัทยาอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว”
และแล้วเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในการจัดประชุมนานาชาติของประเทศไทยก็เกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2553 เมื่อคนเสื้อแดงบุกถล่มการประชุมอาเซียนซัมมิต ทำให้ชื่อเสียงและเกียรติภูมิของชาติเสียหายเกินจะฟื้นฟูได้ในระยะเวลาหลายปี
ในขณะที่คนไทยทั้งประเทศสลดใจ เศร้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาเซียนซัมมิตที่พัทยา แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้คนเสื้อแดงโดยเฉพาะนายจตุพร พรหมพันธุ์ ภาคภูมิใจ คืนวันที่ 11 เมษายน ในเวทีคนเสื้อแดง
นายจตุพรกล่าวว่า...
“แม้เราจะได้รับชัยชนะที่พัทยาแล้ว แต่การต่อสู้ของเรายังไม่จบ จนกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จะลาออก และนับจากนี้ขอให้พี่น้องคนเสื้อแดงทั่วประเทศตรึงกำลังบริเวณศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศไว้ และอาจต้องมีการปิดถนนทั่วประเทศ เวลานี้ได้เวลาแผ่นดินลุกเป็นไฟแล้ว และอย่างน้อยวันนี้นายอภิสิทธิ์ก็ไม่มีทางกลับมาที่ทำเนียบรัฐบาลได้อีก..”
ดังนั้นการที่นายบุญยอด โพสต์ข้อความว่า “เป็นการชุมนุมที่เหมือนกับก่อนประชุมอาเซียนซัมมิต และสร้างความเกลียดชัง” เป็นสัจธรรม และเป็นความจริงทุกประการ
บัดนี้ เรื่องวาระดำรงตำแหน่งแปดปีของพลเอกประยุทธ์อยู่ในขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา แต่ไม่ว่าศาล รธน.จะพิจารณาออกมาสถานใด ก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจ และไม่มีความหมายในสายตาของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของฝ่ายค้าน คือทำลายชื่อเสียงพลเอกประยุทธ์ไม่ให้ได้เป็นประธานจัดการประชุมเอเปก และผลพลอยได้ คือ ทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญไปในตัว
การทำลายการประชุมเอเปกได้เริ่มขึ้นแล้ว ด้วยการสร้างวาทกรรมเกลียดชัง ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล พวกเขาต้องดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าการเริ่มต้นขบวนการฝนตกขี้หมูไหลดูออกจะหรอมแหรมบางตาคือมีมวลชนมาร่วมน้อย ข้อมูลจากนักข่าวในพื้นที่แจ้งมาว่าผู้ชุมนุมทั้งหกจุดมารวมกันไม่ถึงเจ็ดร้อยคน
การทำสงครามรูปแบบใหม่ โดยการใช้อำนาจอ่อน หรือ Solf power นั่นคือใช้สื่อทั้งกระแสหลักและสื่อกระแสรอง ที่เรียกโซเชียลมีเดียเป็นอาวุธร้ายที่มีอานุภาพทำลายล้างอย่างเหนือความคาดหมาย เพราะสื่อชั่วเป็นอาวุธร้ายสามารถทำลายสมอง ทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ร้ายที่ทำลายได้แม้แต่ชาติพันธุ์ของตัวเอง
ปี 2552-2553 ผู้ถือกุมอาวุธซอฟท์พาวเวอร์ใช้วีดีโอคอล เป็นศูนย์บัญชาการ ทำสงครามทำลายล้างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และชื่อเสียงเกียรติภูมิของประเทศไทย
ในปี 2565 สัมภเวสีหนีคุกใช้ “คลับเห่า” เป็นฐานบัญชาการทำสงครามข่าวสารทำลายล้างพลเอกประยุทธ์ ให้เสียหายจนไม่อาจจัดการประชุมเอเปกได้
ถึงแม้ว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ควบคุมกลไกของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหารไว้ได้มากกว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่ไม่สามารถควบคุมกลไกของรัฐไว้ได้ แม้แต่สถาบันเดียว ทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เปราะบางและทำลายได้ง่ายกว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์
แต่พลเอกประยุทธ์ ต้องไม่ลืมว่าฝ่ายตรงข้ามใช้ซอฟท์ พาวเวอร์ คือ สื่อกระแสหลัก สื่อกระแสรอง และปัจจัยเป็นอาวุธร้าย ที่สามารถทำลายสมองและจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถทำลายประเทศชาติตัวเองได้
พลเอกประยุทธ์อย่าให้การ์ดตกเป็นอันขาด เพราะนายบุญยอด ได้เตือนแล้วว่า “#เขาคนนั้นรอดูความสำเร็จการทำลายชาติอยู่”
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี