เป็นระยะเวลานานเกือบสองสัปดาห์แล้วที่สังคมไทยกลับไปให้ความสนใจ และค้นหาความจริงประเด็นความฉ้อฉลของสมาชิกวุฒิสภาบางคน หลังจากเกิดข่าวทหารหญิงรายหนึ่งถูกตำรวจหญิงรายหนึ่งทำร้ายร่างกาย จนเรื่องราวกลายเป็นข่าวใหญ่อย่างต่อเนื่อง
เมื่อเรื่องนี้ถูกขุดลึกลงไป ก็พบว่าการเข้ารับราชการตำรวจของผู้หญิงคนหนึ่ง(ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ) เกิดจากความฉ้อฉล ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบของทางราชการ และมีการโยงใยไปถึง สว. สองสามราย แล้วก็ยังโยงไปถึงหน่วยงานต้นสังกัดของคู่กรณี ดังปรากฏแล้วว่าผู้หญิงรายที่ตกเป็นข่าวชัดเจน ซึ่งได้รับราชการตำรวจ เป็นการเข้ารับราชการโดยไม่น่าจะสุจริต เพราะเข้ารับราชการเมื่ออายุเกินเกณฑ์แถมยังมีข่าวอีกว่ามีรายชื่ออยู่ในหน่วยงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้สามจังหวัด แต่เมื่อค้นไปถึงต้นตอแล้ว กลับพบว่าผู้หญิงคนดังกล่าวไม่เคยลงไปปฏิบัติหน้าที่ในเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เลย คำถามคือ ใครอนุมัติให้หญิงคนนี้เข้ารับราชการตำรวจ แล้วใครส่งชื่อหญิงคนดังกล่าวไปอยู่ในหน่วยงานในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วเงินพิเศษที่หญิงคนนี้ได้รับ ถือเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยตรง ใครต้องรับผิดชอบในเรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้น
สาธารณชนวิพากษ์ว่าปมปัญหาสำคัญในเรื่องนี้เกิดมาจากความเป็นอภิสิทธิ์ชนของ สว.กลุ่มหนึ่ง โดยสว. คนหนึ่งในกลุ่มนี้มีนามสกุลเดียวกับผู้รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนี้
เมื่อไล่ดูข่าวเรื่องตำรวจหญิงทำร้ายร่างกายทหารหญิงแล้ว ก็พบความจริงประการหนึ่งคือ สังคมไทยยังมีกลุ่มอภิสิทธิ์ชน และกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มหนึ่งก็คือ สว. ทหาร และตำรวจ ในเนื้อข่าวยังปรากฏอีกว่า ทหารหญิงรายนี้ต้องกลายไปเป็นคนรับใช้ของตำรวจหญิงคนที่ตกเป็นข่าว คำถามคือทำไมจึงยังมีการนำกำลังพลของกองทัพไปเป็นคนใช้ในบ้านของใครคนใดคนหนึ่งได้ ถามต่อไปว่าแล้วกำลังพลของกองทัพได้รับเงินเดือนและสวัสดิการจากกองทัพ ใช่หรือไม่ หากใช่ แล้วทำไมไม่ทำงานให้กับกองทัพ เหตุใดจึงกลายไปเป็นขี้ข้าของคนอื่น ทำไมคนอื่นจึงนำกำลังพลของกองทัพไปรับใช้ตนเองได้ ใครอนุญาตให้กำลังพลของกองทัพออกไปเป็นขี้ข้าของผู้อื่น
เนื้อข่าวระบุด้วยว่า ทหารหญิงรายนี้บอกว่าต้องจ่ายเงิน 5 แสนบาท ให้ตำรวจหญิงรายนี้ เพราะตำรวจหญิงรายดังกล่าวช่วยให้ตนเองเข้าไปเป็นทหารได้ น่าอัศจรรย์ใจมากที่ตำรวจหญิงผู้ซึ่งมียศเพียงน้อยนิดสามารถมีอิทธิพลมากมายจนถึงขนาดส่งผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปเป็นทหารในกองทัพได้ เรื่องน่าสังเวชแบบนี้น่าจะเกิดมาจากการมีขบวนการฉ้อฉลภายในกองทัพไทยร่วมด้วยอย่างแน่นอน เพราะเพียงลำพังตำรวจหญิงยศน้อยจะมีปัญญาทำเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร
ยิ่งได้ฟังคำกล่าวของทหารหญิงรายนี้แล้วยิ่งพบความน่าทุเรศ และน่าสังเวชของกองทัพมากจนเกินบรรยาย ทหารหญิงกล่าวว่าเธอต้องทำหน้าที่แม่บ้าน โดยทำความสะอาดบ้าน ทำอาหารขับรถยนต์ และดูแลเรื่องอื่นๆ ให้กับตำรวจหญิงผู้อื้อฉาว และยังต้องแบ่งเงินเดือนที่ได้จากกองทัพให้กับตำรวจหญิงอีกด้วย คำถามคือเงินเดือนที่ทหารได้นั้น มาจากเงินภาษีอากรของประชาชน แล้วทำไมจึงมีการปล่อยให้เงินภาษีอากรประชาชนถูกปล้นไปได้เช่นนี้
เรื่องเลวร้ายเช่นนี้นับเป็นเรื่องที่สร้างความอัปยศให้กับวงการตำรวจ ทหาร และ สว. ของไทยอย่างไม่ต้องปฏิเสธ แล้วที่มากกว่านั้นคือ ล่าสุดได้มีหลักฐานปรากฏชัดแล้วว่า สว. รายใดเกี่ยวข้องกับเรื่องอัปยศนี้
เรื่องอัปยศเช่นนี้ปรากฏชัดในสังคมแล้ว แต่สิ่งที่อัปยศยิ่งกว่าคือผู้มีอำนาจในแวดวง สว. ยังคงดูเสมือนนิ่งเฉยกับเรื่องอุบาทว์นี้ เมื่อมีผู้ไปร้องเรียนเรื่องนี้กับ สว. กลับได้รับคำตอบว่า ยังไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากผู้ร้องไม่ได้ระบุชื่อ สว. ผู้กระทำเหตุอุบาทว์ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานว่าตำรวจหญิงรายนี้มีตำแหน่งแห่งที่อยู่ในคณะกรรมาธิการ สว. อย่างน้อยสองคณะคือ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำคณะกรรมาธิการฯ และนักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการฯ
ล่าสุดมีรายชื่อ สว. ที่ถูกเชิญตัวไปชี้แจงเรื่องราวนี้ต่อกรรมาธิการของ สส. โดยพบว่ามีชื่อของธานี อ่อนละเอียด ศิษฐวัชร และ พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็คงจะเงียบหายไปหลังจากตกเป็นข่าวสักระยะหนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องหวังว่าจะมีใครถูกลงโทษ เพราะนี่คือความอุบาทว์ของระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย โดยเฉพาะในสังคมของพวกมีอำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจเพื่อฉ้อฉล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี