หลายคนคงแปลกใจกับพาดหัวข่าววันนี้ เพราะปกติโจรควงอาวุธปล้นเงินจากธนาคาร แต่นี่เป็นเหตุการณ์ธนาคารปล้นลูกค้า มันเป็นไปได้อย่างไร ผู้อ่านเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่การที่มันกลับตาลปัตร ได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศเลบานอน
เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 สำนักข่าว อัล-จาซีระห์ รายงานว่า มีชายวัย 42 ปี ชื่อว่านายบาสซัม อัล-ชีค ฮุสเซน ควงอาวุธสงครามและน้ำมันเบนซินหนึ่งแกลลอนบุกเข้าไปในธนาคารกลางของเลบานอน ในเขตอัมราซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่พลุกพล่านแห่งหนึ่งของเมืองหลวงเบรุต
มือปืนที่ชื่อว่านายฮุสเซน ลั่นกระสุนขู่สามนัด ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของลูกค้า และลูกจ้างในธนาคาร เมื่อมือปืนขู่ว่าจะใช้น้ำมันราดฆ่าตัวตาย หากธนาคารไม่ยอมให้เขาถอนเงินจากบัญชีของตัวเองที่ฝากไว้ในธนาคาร 210,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ขณะทุกคนในธนาคารอกสั่นขวัญหาย นายฮุสเซน ก็จับลูกค้า และ เจ้าหน้าที่ธนาคารหกคนเป็นตัวประกัน ทำให้เดือดร้อนถึงตำรวจ ทหาร และกองกำลังรักษาความมั่นคงภายในกว่าสองร้อยนาย กับพลแม่นปืนอีกสี่นายระดมกันมาปิดล้อมธนาคาร
ในเวลาเดียวกัน นอกวงล้อมของตำรวจ ทหาร บรรดาเจ้าของบัญชีธนาคารกลุ่มใหญ่ แห่กันมาให้กำลังใจนายฮุสเซน มือปืนที่จับคนเป็นตัวประกัน พร้อมกับตะโกนประสานเสียงกันดังๆ ว่า “กฎเกณฑ์เฮงซวยของธนาคารจงพินาศๆๆ..”
เหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วในเดือน ม.ค. 2565 เมื่อชายวัย 37 ปี เจ้าของคอฟฟี่ช็อปบุกเข้าไปจี้เจ้าหน้าที่ธนาคารทางตะวันออกของกรุงเบรุต จับพนักงานเป็นตัวประกันบังคับให้ถอนเงินจากบัญชีของเขาออกมา50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ครั้งนั้นเจ้าของคอฟฟี่ช็อปใช้กำลังบังคับให้ถอนเงินจากบัญชีของตัวเองออกมาได้สำเร็จ
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในธนาคารกลาง ในกรุงเบรุต ไม่ง่ายดังที่เจ้าของคอฟฟี่ช็อปทำในธนาคารทางตะวันออกของเบรุต เพราะการจับตัวประกันใช้เวลานานต้องใช้ตำรวจ ทหาร และ นายกสมาคมผู้ฝากเงินธนาคารแห่งเบรุต ร่วมเจรจานานเกือบเจ็ดชั่วโมง กว่านายฮุสเซนจะยอมวางอาวุธและ ปล่อยตัวประกันทุกคนอย่างปลอดภัย และ นายฮุสเซน ถูกนำตัวไปดำเนินคดีโดยที่ไม่ได้เงินติดตัวไปแม้แต่ดอลลาร์เดียว
เจ้าหน้าที่ธนาคารผู้ร่วมเจรจา ผู้ไม่กล้าเปิดเผยนามกล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า นายฮุสเซนขอถอนเงินทั้งหมด 210,000 ดอลลาร์ ในเบื้องต้นธนาคารยอมให้ถอนเงินสด 10,000 ดอลลาร์ แต่ภายหลังขยับขึ้นมาเป็น 30,000 ดอลลาร์ เพราะฮุสเซนแจ้งว่าเขาต้องนำเงินไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลพ่อที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล นอกจากนั้น ต้องจ่ายบิลค่าน้ำค่าไฟและค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารเลี้ยงครอบครัว แต่หลังจากตำรวจนำตัวเขาไปดำเนินคดีแล้ว ไม่มีใครตอบได้ว่า เขาได้รับเงิน 30,000 ดอลลาร์ หรือไม่
นาย Raed Khoury อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจของเลบานอน กล่าวกับสำนักข่าว อัล-จาซีระห์ว่า “การจำกัดให้ผู้ถือบัญชีธนาคารเบิกเงินได้ทีละน้อย ได้สร้างความโกรธแค้นชิงชังขึ้นในหมู่ประชาชน และทำให้เกิดภาวะยากจนขึ้นทั่วประเทศ...อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีบัญชีธนาคารต้องระบายความแค้นเอากับรัฐบาล ไม่ใช่มาสร้างความรุนแรงกับธนาคาร เพราะธนาคารและลูกจ้างธนาคาร ก็ตกเป็นเหยื่อคอร์รัปชั่นเหมือนกันกับผู้ฝากเงินธนาคาร ทุกคนตกเป็นเหยื่อของรัฐบาลคอร์รัปชั่น และ การบริหารด้านเศรษฐกิจผิดพลาดมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว” นายKhoury กล่าวสรุป
ธนาคารในประเทศเลบานอน เผชิญกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ จนต้องออกกฎเกณฑ์ให้ผู้ฝากเงิน และทรัพย์สินมีค่าไว้ในธนาคารเบิกเงินจากบัญชีไปใช้ได้ในจำนวนจำกัด ตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 ระบาดในปี 2562 ธนาคารปิดกั้นไม่ให้ลูกค้าที่ฝากทรัพย์สินมีค่าไว้ในตู้เซฟของธนาคารได้เข้าถึงตู้เซฟที่เช่าไว้เลยตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา
ส่วนผู้ที่ฝากเงินสดไว้ในธนาคารเป็นเงินตราต่างประเทศ ถูกบังคับให้เปลี่ยนเป็นเงินปอนด์ของเลบานอน ซึ่งมีค่าลดต่ำลงจากเงินดอลลาร์กว่า 90% นี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เจ้าของคอฟฟี่ช็อปจับตัวประกันในธนาคารบังคับให้เบิกเงินที่ฝากไว้ และได้เงินไป 50,000 ดอลลาร์ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่าน
แต่เหตุการณ์จับตัวประกันและขู่จะเอาน้ำมันเผาตัวตาย เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ผลการเจรจาตกลงกันที่ให้เบิกได้ 30,000 ดอลลาร์ จากเงินที่ฮุสเซนฝากไว้ 210,000 ดอลลาร์ และยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าเจ้าของบัญชีที่ใช้กำลังเพื่อถอนเงินที่ถูกธนาคารแช่แข็งไว้ จะได้เป็นเงินดอลลาร์หรือไม่ เมื่อเขาถูกจับไปดำเนินคดี
มาเรียม เจอาดี ภรรยามือปืนผู้มายืนให้กำลังใจสามีอยู่หน้าธนาคารบอกกับผู้สื่อข่าวว่า“สามีของฉันได้ทำสิ่งที่เขาควรทำ เพราะกฎเกณฑ์ของธนาคารคือการปล้นสามีฉัน เขาจำเป็นต้องใช้วิธีการที่สาสมกับธนาคาร”
น้องชายนายฮุสเซน อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย บอกกับสำนักข่าวเอพีว่า “พี่ชายผม ไม่ใช่โจรผู้ร้ายเขาต้องการเงินที่เป็นของเขา เพื่อเอามาใช้จ่ายในครอบครัวและเสียค่ารักษาพยาบาลให้พ่อเขาไม่ได้ปล้นเงินใครแต่ผู้ที่ปล้นเขาไปคือธนาคาร”
นำเรื่องนี้มาเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่า คอร์รัปชั่นมันเป็นเชื้อร้ายที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศล่มสลายได้โดยเฉพาะในประเทศที่บริหารด้วยพรรคพวกเครือข่ายวงศ์วานว่านเครือ ศรีลังกาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด เพราะมีสกุลราชปักษาอยู่เกือบทุกกระทรวง จนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของศรีลังกา ถึงกับเอ่ยปากว่า “ศรีลังกา มีแต่ราชปักษาหรือไง ไปกระทรวงไหนเจรจากับใครเห็นมีแต่ราชปักษา”
นี่ถ้าจีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของประเทศไทย คงจะพูดว่าประเทศไทยมีแต่ชินวัตรหรือไง ทำไม ในห้วงเวลา 16 ปี มีแต่เรื่องชินวัตร ตั้งแต่ พ่อ น้องสาว ลูกสาว เข้ามาครอบงำพรรคการเมือง ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงเพื่อไทย ที่พ่อแต่งตั้งให้ลูกสาว เป็นหัวหน้าครอบครัว เพื่อไทย
และมาระยะหลังนี้มีข่าวว่าเกี่ยวดองโยงใยไปถึง “ป้อมไม่รู้” ประเด็นนี้ ทั้งจีนและไทย ยังคงสงสัยว่า ชินวัตรกับ “ป้อมไม่รู้” มันเกี่ยวดองกันได้อย่างไร
อย่างไรตาม ในห้วงเวลาเจ็ดแปดปีที่ผ่านมา ชินวัตร ไม่ได้มีบทบาทในเศรษฐกิจการเงินการคลังของประเทศไทย มีแต่สร้างหนี้ จากบ้านเอื้ออาทร จากโครงการจำนำข้าวทิ้งไว้ให้ ลุงตู่ใช้หนี้หลายแสนล้านบาท ลุงตู่ต้องใช้คนที่มีความรู้ความสามารถหลายราย จึงทำให้เสถียรภาพทางการเงินการคลังมั่นคงขึ้นมาบ้าง
จากสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย บ่งชี้ว่า ช่วงต้นปี 2565 ไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 2.79 แสนล้านดอลลาร์ แต่ปัจจุบัน ณ 24 มิ.ย. 2565 ลดลงเหลือ 2.51 แสนล้านดอลลาร์ ลดลงราว 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์คิดเป็น 1 ล้านล้านบาท ณ 11 ก.ค. 2565
อย่างไรก็ตาม วันนี้คนที่มีเงินในบัญชีในธนาคารเท่าไหร่ ก็เบิกไปใช้เท่านั้น ไม่ต้องนำอาวุธสงครามเข้าไปธนาคารเพื่อขู่บังคับให้เบิกเงินในบัญชีตัวเองมาใช้เหมือนในเลบานอน แต่หาก “ป้อมไม่รู้” จับมือกับสัมภเวสีหนีคุกจริง บางทีอาจต้องเอาเงินที่มีฝังดินไว้ เหมือนสมัยตอนปลายกรุงศรีฯ ในปี 2310
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี