เมื่อสี่สิบปีก่อน ตอนที่สงครามกลางเมืองในกัมพูชายังรุนแรง มีทหารเวียดนามสองแสนกว่าคน พุ่งรบกับเขมรสามฝ่าย ที่เกาะอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา วันหนึ่งตำรวจทางหลวงจับรถขนอาวุธที่กำลังมุ่งหน้าไปชายแดนไทย-กัมพูชาได้
ด้วยความที่คิดว่า นี่เป็นข่าวใหญ่ กรมตำรวจแจ้งสื่อมวลชนให้ไปทำข่าวตอนบ่ายสามโมงเย็น ผู้เขียนเป็นหนึ่งในนักข่าวที่ไปทำข่าวครั้งนั้น ก่อนแถลงข่าวได้คุยกับตำรวจชั้นประทวน ที่ร่วมจับกุมได้ความจริงมาว่า ตำรวจทางหลวงไม่รู้ว่าเป็นอาวุธของใคร เลยแจ้งข่าวบอกสื่อมวลชนไปล่วงหน้า แต่พอมาแถลงข่าวจริง ผู้ต้องหามีแต่คนขับรถกับปืนสามกระบอก ที่แจ้งล่วงหน้าว่า มีอาวุธเต็มคันรถหกล้อนั้น เขาไม่รู้ว่ามันหายไปไหน
นี่คือหนึ่งในหลายตัวอย่างที่ประสบมาในห้วงเวลาหลายสิบปีที่คดีใหญ่ๆ หลังจากแถลงข่าว (โดยคนที่ไม่รู้ความจริงว่ามันคืออะไร) ที่ความผิดพลาดนำไปสู่ความเสียหาย ต่อนโยบาย “การทูตเงียบ” ของประเทศไทย
คือ เจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่ามี “หน่วยปฏิบัติการพิเศษ...อยู่ในประเทศไทย หน่วยปฏิบัติการพิเศษ...ที่ว่านี้มีหน้าที่ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน และปฏิบัติการร่วมกันเงียบๆไม่โฉ่งฉ่างไม่อยากดัง ไม่มีโซเชียล ไม่ออกสื่อ แต่ประสานงานและปฏิบัติการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น สปป.ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และ เมียนมา เพื่อรักษาความมั่นคงร่วมกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสหภาพเมียนมา ที่มีชายแดนติดกันกว่าสองพันกิโลเมตรและเมียนมากำลังมีปัญหาวิกฤตการเมือง หน่วยปฏิบัติการพิเศษ...นี้ต้องทำงานหนักเป็นสามเท่า เพราะวิกฤตการเมืองในเมียนมา ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศ แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่า คือ เมียนมาถูกแทรกแซงจากประเทศตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐ
สหรัฐกับประเทศตะวันตก พยายามทำทุกวิถีทางเท่าที่ทำได้เพื่อทำลายชื่อเสียง หรือ แม้กระทั่งโค่นล้มรัฐบาลทหารเมียนมา แล้วหาลู่ทางให้ นางออง ซาน ซู จีกลับมามีอำนาจผ่านทางรัฐบาลเงา “รัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ” (National Unity Government=NUG) ที่ตะวันตกสมคบกันสร้างขึ้นมา
วันนี้มีคนพม่าสองราย ถูกกักตัว คุมขังโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย คนหนึ่ง คือ น.ส.ฮานเลย์ มิสแกรนด์เมียนมา ปี 2563 ผู้แสดงจุดยืนต่อต้านรัฐประหาร และมาหลบซ่อนตัวอยู่ประเทศไทยภายใต้ร่มเงาของชาวสามกีบผู้ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ มิสแกรนด์เมียนมาคนนี้อยู่ในข่ายคลั่งไคล้ตะวันตก และชิงชังบ้านเกิดเมืองนอน เหมือนพวกสามกีบไทย เธอจึงเป็นที่สนใจของพวกฝรั่ง
อดีตมิสแกรนด์เมียนมา เคยไปด่ารัฐบาลทหารเมียนมา ในเวทีประกวดมิสแกรนด์เวิลด์ เลยไม่กล้ากลับเมียนมาตั้งใจขอลี้ภัยในประเทศแคนาดา พร้อมผู้จัดประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ แต่แคนาดาไม่ออกวีซ่าให้ เลยมาซุกอยู่ในประเทศภายใต้ร่มเงาของชาวสามกีบ เมื่อเข้ามาประเทศไทยในวีซ่านักท่องเที่ยว เธอจึงต้องเดินทางออกไปประเทศเพื่อนบ้านเพื่อต่อวีซ่าทุกๆ สองเดือน
ล่าสุด น.ส.ฮานเลย์ เดินทางไปเวียดนาม แต่เข้าประเทศไม่ได้ เวียดนาม เลยส่งกลับมาประเทศไทย เมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กองตรวจคนเข้าเมือง ปล่อยให้เธอผ่านด่านเข้ามาในประเทศอีกไม่ได้มันผิดกฎหมาย เพราะเธอไม่มีเอกสารเดินทาง เนื่องจากว่ารัฐบาลเมียนมา ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางของเธอไปแล้ว
สำนักข่าวต่างประเทศในเครือข่ายที่โจมตี พลเอกมิน อ่อง หล่าย ก็เสนอข่าวครึกโครมว่ารัฐบาลไทยกำลังจะส่งตัวเธอกลับไปเมียนมา เดือดร้อนถึงยูเอ็นเอชซีอาร์ (สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย) ต้องเข้ามาแทรกแซงรัฐบาลไทยไม่ให้ส่งตัวเธอไปไหน โดยยูเอ็นเอชซีอาร์ รับปากว่าจะหาประเทศที่สามให้รับตัวเธอไปตั้งรกรากใหม่
นี่คือ บทบาทสำคัญของยูเอ็นเอชซีอาร์ คือ มีหน้าที่ช่วยเหลือขบถ หรือ คนทรยศต่อแผ่นดินเกิด ตัวอย่างในประเทศไทย นายตั้ง อาชีวะ ทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยูเอ็นเอชซีอาร์ ให้ความคุ้มครองและจัดหาประเทศสามให้ นายตั้ง อาชีวะ ไปนิวซีแลนด์ ผู้ต้องหา มาตรา 112 ทุกคนที่หนีพ้นประเทศไทยไปได้ล้วนแต่ได้รับการคุ้มครองจากยูเอ็นเอชซีอาร์ สรุปว่า ในกรณีของมิสแกนด์เมียนมา ขบวนการสามกีบ ฝ่ายต่อต้านสถาบันสบายใจได้ เพราะเธอเป็นเด็กในคาถาของอเมริกา
ผู้ต้องหาชาวพม่าอีกคน ที่ถูกตำรวจจับแล้วยึดทรัพย์กว่า 200 ล้านบาท คือ นายตุน มิน ลัต ตามเอกสารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกเมื่อวันที่ 21 ก.ย. ชี้แจงกรณีการจับกุม “ผู้ต้องหาตามหมายจับรายสำคัญ คดีการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด”แต่ไม่ได้ระบุชื่อแต่อย่างใด
บีบีซีไทย สอบถาม ทีมโฆษก ตร.ว่า ผู้ต้องหารายสำคัญที่จับได้ ใช่ นายตุน มิน ลัต หรือไม่ คำตอบที่ได้คือ “ในชั้นนี้ บอกได้แค่สัญชาติ อายุและข้อหา”
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ชี้แจงผ่านเอกสารข่าวว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ย. เวลา 06.00 น. ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมหน่วยร่วมปฏิบัติที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันปิดล้อมตรวจค้นหลายจุด และจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญตามหมายจับได้จำนวน 4 ราย รวมถึงสามารถตรวจยึดทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาทด้วย
สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม และตั้งข้อหา ร่วมกันสมคบกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด, ร่วมกันช่วยเหลือสนับสนุนการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด และร่วมกันสมคบการฟอกเงินฯ ประกอบกับสื่อไทยที่เข้าใจว่าตกเป็นเหยื่อปฏิบัติการข่าวของอเมริกา พยายามขุดคุ้ยว่า ผู้ต้องหาคนนี้มีความสำคัญอย่างไร
หมาแก่ แห่งรายการ “เจาะลึกที่ทั่วไทย Inside ไทยแลนด์ ขยายความพบว่า ผู้ต้องหาคนนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พลเอกมิน อ่อง หล่ายผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา นอกจากนั้นยังเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของลูกสาวพลเอกมิน อ่อง หล่าย ในหลายธุรกิจ”
แหล่งข่าวด้านความมั่นคง และแหล่งข่าวชาวพม่า บอกกับ แนวหน้า เป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นไปได้สูงที่สหรัฐกับออสเตรเลีย ชี้เป้าให้ตำรวจจับ จากการกล่าวหาทีคลุมเครือ ตำรวจเลยต้องตั้งข้อหาเหวี่ยงแหแก่ผู้ต้องหา คือ ตอนแรกว่า ค้าอาวุธต่อมา เป็นข้อหาฟอกเงิน และสุดท้ายกลายเป็นข้อหาค้ายาเสพติด”
แหล่งข่าวชาวพม่ากล่าวว่า เป็นไปได้สูงว่าสุดท้ายจะถูกตั้งข้อหาค้ายาเสพติด “เพราะข้อหาค้ายาเสพติดสามารถปล่อยตัวหรือเนรเทศได้ง่ายเพราะไม่มีหลักฐานใดๆ เอาผิดกับผู้ต้องหาได้”และกล่าวเสริมว่านี่คือ การแก้ปัญหาร่วมกันของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ...ทั้งสองฝ่ายโดยที่บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญทางด้านความมั่นคงตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าสหรัฐ ไม่ให้ข้อมูลผิดๆ มาตำรวจคงไม่จับตัวผู้ต้องหาคนนี้ “โดยปกติถ้าจับคดีค้ายาเสพติดคนสำคัญ DEA (หน่วยปราบยาเสพติดของอเมริกา) ต้องเสนอหน้าในวันแถลงข่าวหรือไม่ก็เข้าร่วมจับกุม แต่กรณีผู้ต้องหาคนนี้จับไปหลายวันแล้ว ตำรวจถึงออกข่าวแถม นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ไม่ได้แถลงข่าวเสนอหน้าออกทีวีเลย มันผิดปกติเอามาก”
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า “ในวันที่ประเทศไทยแสดงนิทรรศการป้องกันประเทศ ซึ่ง พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปเป็นประธานเปิดงานวันนั้นผู้ต้องหาที่ว่ามาปรากฏตัวในงาน พร้อมกับคณะของพลเอกมิน อ่อง หล่าย นั่นก็แสดงว่าผู้ต้องหามีความสำคัญในรัฐบาลทหารเมียนมา คนระดับนี้ไม่ค้ายาเสพติดด้วยตัวเองหรอก”
ส่วนประเด็นค้าอาวุธปัจจุบันนี้รัฐบาลทหารเมียนมา ซื้ออาวุธโดยตรงจากรัสเซีย จีน อิหร่าน อินเดีย และเกาหลีเหนือ โดยตรงอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องให้พ่อค้าอาวุธมาเพ่นพ่านอยู่ในประเทศไทย แหล่งข่าวกล่าว และ เสริมว่า...
“พูดถึงเรื่องการฟอกเงินเวลานี้นักธุรกิจเมียนมานิยมนำเงินมาฝากไว้ธนาคารในประเทศไทย เพราะเมียนมาถูกคว่ำบาตรการถอนเงินก็ทำได้ในวงเงินจำกัด พูดกันตรงๆ คือ แหล่งฟอกเงินใหญ่ของเมียนมา คือในประเทศสิงคโปร์ รัฐบาลนายโจ ไบเดน เคยแสดงความไม่พอใจที่สิงคโปร์ปล่อยให้เมียนมาใช้ธนาคารในสิงคโปร์เป็นเส้นทางหมุนเวียนการเงิน...”
แต่สื่อมวลชนสิงคโปร์ เขามีวุฒิภาวะ อีกอย่างรัฐบาลควบคุมสื่อได้ สเตรทไทม์สิงคโปร์เลยโหมประโคมข่าวว่า กฎหมายการเงินของสิงคโปร์เข้มงวด เหมือนสวิตเซอร์แลนด์ ที่รัฐบาลไม่สามารถแทรกแซงธนาคารได้ สื่อมวลชนสิงคโปร์ที่รัฐบาลควบคุมได้ เสนอข่าวตีสองหน้า ด้านหนึ่งโจมรัฐบาลทหารเมียนมาอย่างรุนแรง แต่ถ้าเป็นผลประโยชน์ของชาติ สื่อสิงคโปร์ก็ปกป้องเต็มที่ เช่นอ้างกฎหมายธนาคารที่เข้มงวดเปิดทางให้ฟอกเงินได้ ถ้าไม่เชื่อให้ถามนักการเมืองไทย ที่ปล้นชาติไปเป็นแสนๆ ล้านบาท และเงินส่วนใหญ่ซุกไว้ในสิงคโปร์
การค้าอาวุธกับเมียนมาก็เช่นกันสิงคโปร์เป็นแหล่งค้าอาวุธกับเมียนมารายใหญ่ที่สุดในอาเซียนแต่สื่อสิงคโปร์ไม่เคยรายงานเรื่องนี้เลย แหล่งข่าวกล่าว
จึงสรุปให้เข้าใจกันง่ายๆ ว่าสหรัฐเล่นงานเมียนมาในสิงคโปร์ไม่ได้เลยมุ่งเป้าหมายมาเล่นงานรัฐบาลทหารเมียนมาในประเทศไทยเพราะยิงปืนนัดเดียวกระสุนถูกทั้งไทยและเมียนมา เพราะว่าสื่อไทยไม่เหมือนสื่อสิงคโปร์
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี