โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก องค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ที่มีอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจสติแตกเข้ามาก่อเหตุสังหารเด็กภายในศูนย์แห่งนี้เสียชีวิตถึง24 ราย ครูและชาวบ้านในพื้นที่ถูกสังหารระหว่างทางอีกกว่า 10 ราย ถือเป็นเหตุโศกสลดที่ทั่วโลกติดตามให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
โศกนาฏกรรมลักษณะนี้มิได้เพิ่งเกิดในราชอาณาจักรไทยเป็นครั้งแรกของโลก แต่เกิดขึ้นในหลายประเทศหลายภูมิภาค อาทิ สหราชอาณาจักร ทั้งที่อังกฤษ และ สกอตแลนด์, นอร์เวย์, ปากีสถาน, รัสเซีย และพื้นที่เกิดเหตุบ่อยที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา ทั้งที่เชื่อมโยงกับเหตุก่อการร้าย และไม่ได้เชื่อมโยงกับการก่อการร้าย
หลังกลิ่นคาวเลือกผู้บริสุทธิ์ทั้งเด็กเล็กและประชาชนชาวบ้านที่ปฏิบัติภารกิจในชีวิตประจำวันจางหายเสียงเพรียกร้องทั้งจากสังคมไทยและกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ช่วงชิงคะแนนนิยมโหยหวนทวงถามความรับผิดชอบก็ก้องกังวานขึ้น แน่นอน!!ความรับผิดชอบนี้รัฐบาลจะปฏิเสธเกี่ยงงอนแถไถเฉไฉไปไม่ได้
ทว่าความรับผิดชอบที่ว่านี้แค่ไหนอย่างไร เราเชื่อว่าถ้านำความรับผิดชอบมาตั้งเป็นคำถาม ต้องถามต่อไปว่านำไปถามใคร … ถามนักการเมืองชังชาติ, ส่ำสัตว์ติ่งสัมภเวสี,สัมภเวสี,นักวิชาเกิน, สื่อปีศาจ จะมีเสียงเล็ดลอดออกมาว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารบ้านเมืองมาแปดปีพอแล้วแก้ปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ทั้งที่เคยนำมาอภิปรายให้ทราบในสภาแล้ว สมควรลาออก หรือยุบสภาเลือกตั้งใหม่
แต่เชื่อ…มั่นใจ???หรือว่า รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งมีสติปัญญาและศักยภาพมากพอที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างแบบนี้ได้จริง
ตราบใดที่สังคมไทยและการเมืองไทยยังสาละวนอยู่กับการทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งด้านนโยบายและช่องว่างของกฎหมาย โดยที่ไม่ดำเนินการสิ่งที่เคยเรียกร้องกันมาตลอดคือ การปฏิรูปการเมือง
เนื่องจากนักการเมืองไทยมีพฤติกรรม “ผักชีโรยหน้าเป็นที่ตั้ง ตามสาระธรรม เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป”
โครงสร้างที่เป็นปัญหามิใช่แค่โครงสร้างกองทัพที่ลึกลับซับซ้อน โครงสร้างองค์กรตำรวจที่มากไปด้วยระบบอุปถัมภ์ แต่ต้องแก้ปัญหาในทุกโครงสร้างของสังคม ทั้งองคาพยพอย่างจริงจัง ยุติพฤติกรรมกระตือรือร้นคึกคักเมื่อเกิดวิกฤตผลักดันให้ต่อสามัญสำนึกกระตุก หลังจากนั้นก็เงียบหายไปกับการรอคอยและความคาดหวังของประชาชน
จำกันได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ณ “ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21”จากฝีมืออาชญากรชื่อ “จ่าสิบเอกจักรพันธ์ ถมมา” ที่เสมือนจะเป็นไอดอลให้ “สิบตำรวจเอกปัญญา คำราบ อดีตผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบปราม สถานีตำรวจภูธรนาวัง” ได้ดำเนินการก่อเหตุสยดสยองนี้ ต่างกันแค่สาเหตุที่ไร้ทางออกจนเกิดความกดดันที่ให้อาชญากรนี้ก่อเหตุอาชญากรรมเท่านั้น
ที่เหมือนกันก็คือ การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาเหตุแห่งการก่ออาชญากรรม เพื่อเป็น “บทเรียน”นำมาเป็นแนวทางในการแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้อีก แล้วผลเป็นอย่างไรเล่า
เหมือนกับวาทกรรมที่ว่า ขอให้ครั้งนี้เป็นความสูญเสียครั้งสุดท้าย แต่ก็เห็นการสูญเสียเดิมๆ เกิดขึ้นอย่างมิหยุดยั้ง
สมควรหยุดวาทกรรม “ถอดบทเรียน” นั้นเถิด แต่หันมาแก้ไขปัญหาโครงสร้างอย่างจริงจัง
หัวคนไทยเปียกเพราะวาทกรรมสวยหรูของท่านผู้ทรงเกียรติมากพอแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี