ปัญหายาเสพติดในบ้านเรา ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าเป็นปัญหาร้ายแรง
คนติดยาเป็นปัญหาสังคม ทำลายทรัพยากรมนุษย์ และยังอาจก่ออาชญากรรมรุนแรง
เงินพ่อค้ายาถูกฟอก และนำไปใช้ต่อยอดบ่อนทำลายประเทศชาติต่อไปอีก ฯลฯ
1. ที่ผ่านมา ปรากฏข่าวการจับกุมยาเสพติดได้ปริมาณมหาศาล โดยเฉพาะบริเวณชายแดน ช่องทางธรรมชาติ และบนเส้นทางลำเลียงจากชายแดนเข้ามาสู่เขตเมือง
ข้อมูลคดียาเสพติดของกลางปี 2565 พบว่า ในปี 2565 มียาเสพติดที่ถูกจับกุม ดำเนินคดี จนกระทั่งถูกทำลาย จำนวนรวมกว่า 40,706 กิโลกรัม จาก 185 คดี มูลค่ารวมกว่า 34,688 ล้านบาท ปรากฏว่า ส่วนใหญ่เป็นเมทแอมเฟตามีน(ยาบ้า) 23,365 กิโลกรัม ที่เหลือเป็นไอซ์ 14,482 กิโลกรัม, เฮโรอีน 738 กิโลกรัม, ยาอี 4 กิโลกรัม, ฝิ่น 29 กิโลกรัม และวัตถุออกฤทธิ์น้ำหนักกว่า 2,086 กิโลกรัม
นี่คือส่วนที่ถูกจับได้ แต่ส่วนที่เห็นมีผู้เสพยังลอยนวลอยู่นั้น อีกเท่าไหร่?
2. ขณะนี้ มีฝ่ายการเมืองเร่งปั่นกระแส เรียกร้องให้รัฐบาลทำ “สงครามยาเสพติด”
ฝ่ายค้านพยายามสวมรอยด้วยการ “ฟอกขาว” ให้กับ “สงครามยาเสพติดยุคทักษิณ” นำมาดิสเครดิตรัฐบาลปัจจุบัน ปลุกปั่นหาเสียงในกระแสที่สังคมกำลังโกรธแค้นกับกรณีสังหารหมู่ที่หนองบัวลำภู ทั้งๆ ที่การดำเนินการในครั้งนั้น เต็มไปด้วยข้อบกพร่องเสียหายร้ายแรง พ่อค้ายารายใหญ่ๆ ก็ยังอยู่รอดปลอดภัย และสุดท้าย ยาเสพติดก็ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้แก้ปัญหายั่งยืน
สังคมต้องรู้เท่าทันว่า ฝ่ายการเมืองที่พยายามเอาเรื่องสงครามยาเสพติดมาพูดข้อมูลด้านเดียว เพื่อสร้างกระแสดิสเครดิตรัฐบาลในขณะนี้ จริงใจกับการแก้ปัญหา หรือแค่ตีกินหาเสียงเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา?
3. ลืมไปแล้วหรือ... สงครามยาเสพติดยุครัฐบาลทักษิณ ทำให้เกิดการฆาตกรรมผู้คนไปกว่า 2,500 คน ในช่วงเวลา 3 เดือน ก.พ.-เม.ย. 2546 โดยที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่พ่อค้ายาเสพติดแต่อย่างใด
หลังจากนั้น ยาบ้าก็ไม่ได้หายไปไหน พ่อค้ายานายใหญ่ก็ยังอยู่ สะท้อนชัดเจนว่าไม่ได้ผลจริง
นโยบายยุคนั้น มีการบังคับ กดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้ต้องทำยอด ด้วยการลดรายชื่อบุคคลในบัญชีดำของทางการให้ได้ โดยรัฐบาลให้ถือเอายอดการเสียชีวิตของบุคคลในบัญชีดำ ไม่ว่าจะตายด้วยวิธีการใดๆ เป็นหนึ่งในผลงานได้ด้วย
การขึ้นบัญชีดำของทางการในขณะนั้น มีความบกพร่องร้ายแรง พ่อค้ายาบางรายไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีดำ แต่คนมีชื่ออยู่ในบัญชีดำจำนวนมากกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้าขายยาเสพติด
รัฐบาลทักษิณบังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ต้องปราบปรามผู้มีรายชื่อในบัญชีดำให้ได้อย่างน้อยถึงร้อยละ 25
พูดง่ายๆ ว่า ต้องตัดยอดบัญชีดำ ทำให้ลดลงอย่างน้อย 25% ภายในเวลา 3 เดือน
กำหนดหลักเกณฑ์ที่ใช้วัดผลในการตัดยอดคนในบัญชีดำ 3 อย่าง คือ (1) การจับกุมดำเนินคดีจนถึงขั้นอัยการส่งฟ้องศาล (2) การวิสามัญฆาตกรรม และ (3) การที่ผู้มีรายชื่อในบัญชีดำเสียชีวิต ไม่ว่าด้วยกรณีใดก็ตาม
โดยนายทักษิณใช้อำนาจนายกฯ ขณะนั้น กำชับและข่มขู่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ส่งสัญญาณใช้ความรุนแรงนอกระบบอย่างเต็มที่
ประกาศว่า “ถ้าล้มเหลว ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดก็คงต้องไปด้วยกัน”
“ท่านต้องใช้ Iron fist หรือกำปั้นเหล็ก ใช้ความเด็ดขาดอย่างชนิดไม่ต้องปรานี พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เคยกล่าวไว้ว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องยาเสพติดผมมั่นใจว่าตำรวจไทยจัดการได้”
“การทำงานหนักของท่าน 3 เดือนถ้าจะมีผู้ค้ายาตายไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ”
“บางทีถูกยิงตายแล้วต้องถูกยึดทรัพย์ด้วย ผมคิดว่าเราต้องเหี้ยมพอกัน”
“ที่อยู่ของขบวนการค้ายาเสพติดมี 2 ที่ คือถ้าไม่ไปคุกก็ไปวัด”
“ผมจัดการแน่นอน ไม่เก็บไว้ทำพ่อหรอก ขอให้บอกเบาะแสมา ใครขายยาผมจะหิ้วให้หมด จะส่งไปเยี่ยมยมบาลให้หมด” ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ ภายในช่วงเวลา 3 เดือน จึงมีการ“ทำยอด” ยิงทิ้งคนที่มีชื่อในบัญชีดำ จำนวนมาก!
แม้จะสะใจคนจำนวนไม่น้อยในสังคมขณะนั้น แต่พิสูจน์ชัดแล้วว่า ไม่ได้แก้ปัญหายาเสพติดที่ต้นตอจริงๆ
เหมือนเป็นการฆ่าที่ทำให้รัฐบาลได้คะแนนนิยมทางการเมือง เอาภาพว่าเด็ดขาด โดยคนที่ถูกฆ่าไม่ใช่พ่อค้ายารายใหญ่ และไม่ได้จัดการที่ต้นทางยาเสพติดอย่างแท้จริง
รายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระ คตน. (ชุดที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน) ระบุว่าเข้าข่ายเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ!
ชี้ชัดเจนว่า การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณ และการนำนโยบายไปปฏิบัติ จนเป็นผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตของประชาชนพลเรือนเป็นจำนวนมากนั้น วางแผนโดยการทำบัญชีข้อมูลบุคคลและสั่งลดจำนวนบุคคลในบัญชีข้อมูลบุคคล เป็นการกระทำตามนโยบายที่รัฐวางไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเกิดการฆาตกรรมอย่างเป็นระบบในวงกว้าง นับเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติอย่างชัดเจน ผู้กำหนดนโยบายดังกล่าว น่าจะเป็นผู้กระทำความผิดในความผิดฐาน “ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” หรือ “Crimes against humanity” อันเป็นความผิดอาญาระหว่างประเทศ ตามธรรมนูญแห่งกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ
4. ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2565 กระทรวงมหาดไทยได้ขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมสั่งเข้มตรวจสอบคุณสมบัติผู้ขออนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า จะต้องทบทวนความเข้มข้นในการป้องกันและปราบปราบยาเสพติด รวมถึงการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด และคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนด้วย
ได้สั่งการให้มีการกำหนดตัวชี้วัดหรือ KPIs แต่ละกระบวนการ ว่า จะทำอะไรบ้าง ภายในกรอบระยะเวลาเท่าไร เพราะทุกวัน เวลา วินาที มีค่า ในการป้องกันภัยสังคมเช่นนี้ ฝ่ายปกครองภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ต้องเร่งดำเนินการ โดยมีประเด็นสำคัญ 5 ประเด็น ดังนี้
“1.ให้กำชับมาตรการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Re X-Ray กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติด เพื่อลด Demand และ Supply ของยาเสพติด พร้อมทั้งนำผู้ป่วยยาเสพติดเข้ารับการบำบัดรักษา และเพิ่มความเข้มข้นการตรวจตราตั้งด่านชุมชน โดยปลัดอำเภอฝ่ายป้องกัน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและชุด ชรบ. เพื่อตรวจสารเสพติด เฝ้าระวังเหตุการณ์ที่อาจเป็นภัยต่อสังคมและอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ รวมถึงการค้ามนุษย์
2.การปลุกจิตวิญญาณให้คนในหมู่บ้านช่วยกันระวังภัย ทั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน หรือ กม. กำนัน ผู้ใหญ่บ้านคนในชุมชน มีการสื่อสารหรือรายงานสถานการณ์ที่เป็นความเสี่ยงให้กับฝ่ายปกครองทราบเพื่อจะได้เตรียมการป้องกันก่อนเกิดเหตุ
3.ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สนับสนุนการตั้งด่านชุมชนของกรมการปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่
4.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอให้ความสำคัญกับกิจกรรมของหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดิน ต้องไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างแท้จริง และเฝ้าระวัง รวมถึงขยายผลไปยังเครือข่ายต่างๆ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมรณรงค์ไม่ให้มีการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
5.ได้กำชับให้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนด้วย หากพบว่า ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขาดคุณสมบัติให้ดำเนินการสั่งเพิกถอนใบอนุญาตนั้นทันที ตามมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 และที่แก้ไขเพิ่มเติมนอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นศึกษา และทบทวนระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการช่วยเหลือประชาชน พ.ศ. 2560 เพื่อให้สามารถช่วยเหลือ สงเคราะห์ได้ครอบคลุมผู้เดือดร้อนทุกประเภท”
5. ขอสนับสนุนให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกระดับการต่อสู้กับปัญหายาเสพติดของชาติ ขับเคลื่อนนโยบายป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด เอาจริงเอาจังในช่วงเวลาที่เหลือ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์กวาดล้างขบวนการค้ายาเสพติดกำจัดเป้าหมายที่ชัดเจน ทั้งกลุ่มและเครือข่ายค้ายาทั้งปราบปราม จับกุม ยึดทรัพย์ และทำลายแหล่งผลิตจัดการนำคนเสพเข้าไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพ ไม่ปล่อยให้มีปัญหาคนคลั่งยา ทำร้ายหรือฆ่าพ่อแม่ญาติพี่น้องตัวเองและคนในสังคมอีกต่อไป โดยไม่ต้องฆ่าตัดตอนเหมือนในสงครามยาเสพติดยุคทักษิณ
ทั้งหมดนี้ ถ้าจะต้องเกิดภาพความเอาจริงครั้งใหญ่ เช่น การทำสงครามสกัดกั้นขบวนการค้ายาเสพติด การตรวจปัสสาวะในหน่วยตำรวจ ทหาร ปกครอง หรือตามชุมนุมต่างๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนการจับตัวไปบำบัดรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าจะต้องเปิดศูนย์บำบัดรักษาทุกจังหวัด
ทุกอำเภอ เหมือนโรงพยาบาลสนามโควิด-19 ก็ต้องทำเพื่อส่งสัญญาณเอาจริงเอาจัง ฯลฯ
การที่ปัจจุบัน ยาบ้าราคาถูกลง มันคือการทำให้กำไรของพ่อค้ายาลดลงไปกว่าเดิมมาก (พ่อค้ายาเดือดร้อน)แต่สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปอย่างเข้มข้นด้วย นอกจากจับกุมยึดทรัพย์ทำลายแหล่งผลิต ก็คือการบำบัดรักษาผู้เสพ การป้องกันผู้เสพรายใหม่
ในยุครัฐบาล คสช. พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา อดีตรัฐมนตรียุติธรรม เคยเปิดเผยว่า กลุ่มค้ายาที่มาข้องเกี่ยวกับประเทศไทยมีทั้งหมด 5 กลุ่ม 60 เครือข่าย ในยุครัฐบาล คสช.ทำลายไปแล้วหลายกลุ่ม หลายเครือข่าย ปราบปราม สกัด ณ ต้นทาง แหล่งผลิต ที่ผลิตจากชายขอบประเทศเพื่อนบ้าน ลำเลียงเข้าสู่ประเทศไทย กำหนดแนวทางปฏิบัติการชัดเจน การป้องกัน บำบัดรักษา และปราบปราม ต้องบูรณาการไปด้วยกัน ชุมชนมีส่วนร่วมในการป้องกัน
ในช่วงเวลาที่ยังเหลือของรัฐบาลชุดนี้ ขอเรียกร้องให้ดำเนินการเด็ดขาด อย่ารอจนคนในครอบครัว หรือคนใกล้ชิดของท่าน ต้องตกเป็นเหยื่อความบ้าคลั่งของยาเสพติดเสียเอง
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี