หน่วยงานราชการไทยแห่งหนึ่งที่ถูกสาธารณชนตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสมาโดยตลอดคือกระทรวงกลาโหม หรือบางคนเรียกเพื่อให้เข้าใจง่ายว่ากองทัพไทย
คำคำหนึ่งที่ทำให้สาธารณชนไม่เชื่อถือกองทัพไทย อันที่จริงต้องบอกว่าไม่เชื่อถือทหารระดับสูงที่ทำหน้าที่บริหารจัดการกองทัพไทยมากกว่า ก็คือ งบลับ เพราะคำว่างบลับได้กลายเป็นคำที่ทำให้ทหารที่มีเจตนคติฉ้อฉลใช้อ้างมาโดยตลอด เพื่อให้รอดพ้นจากการถูกตรวจสอบการใช้งบประมาณ
มีคำถามว่า งบประมาณจำนวนมหาศาลในแต่ละปีที่กระทรวงกลาโหมได้รับ (ล่าสุดปีงบประมาณ 2566 กระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณจำนวน 1.97 แสนล้านบาท ทั้งนี้งบฯ ปี 2566 ของกลาโหมลดลงจากปี 2565 เล็กน้อย โดยงบฯ ปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท) ถูกใช้ด้วยความโปร่งใส และสุจริตจริงหรือ
งบประมาณที่กระทรวงกลาโหมได้รับ อยู่ในลำดับที่ 4 โดยกระทรวงที่ได้รับงบฯ มากเป็นอันดับ 1 คือ กระทรวงศึกษาธิการ ตามมาด้วยกระทรวงมหาดไทย โดยอันดับ 3 คือกระทรวงการคลัง ส่วนงบฯ ที่กระทรวงสาธารณสุขได้ร้บอยู่ที่ลำดับ 6
สิ่งหนึ่งที่สาธารณชนทราบเป็นอย่างดีคือกลาโหมใช้งบฯ ที่ได้รับในแต่ละปีเพื่อกิจการด้านอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับแต่ละเหล่าทัพในวงเงินที่สูงมาก เช่น กองทัพบกใช้งบฯ ส่วนนี้ 5,127 ล้านบาท กองทัพเรือใช้งบฯ เพื่อกิจการด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ 3,510 ล้านบาท และกองทัพอากาศ ใช้งบฯ เพื่อการนี้จำนวน 3,287 ล้านบาท ส่วนกองบัญชาการกองทัพไทย ก็ระบุว่าจะใช้งบฯ เพื่อเสริมสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ 463 ล้านบาท
แต่เมื่อพิจารณางบประมาณลับ (งบฯ ราชการลับ) ของกลาโหม เป็นเงินสูงถึง 469,955,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
ส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 32,393,000 ล้านบาท
กองทัพบก 290,046,000 ล้านบาท
กองทัพเรือ 62,694,000 ล้านบาท
กองทัพอากาศ 30,000,000 ล้านบาท
กองบัญชาการกองทัพไทย 54,822,000 ล้านบาท
ย้ำว่ากองทัพไทยถูกมองและวิพากษ์มาโดยตลอดว่าใช้งบฯ ไม่โปร่งใส ไร้ความขาวสะอาด สาธารณชนตั้งคำถามว่า ทำไมไม่สามารถสร้างความโปร่งใสเรื่องการใช้งบประมาณของกองทัพไทยได้ ปัญหาติดขัดอยู่ที่ระบบ หรือที่ตัวบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของทุกเหล่าทัพ หรือว่าปัญหานี้เกิดมาจากรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลไม่กล้าตรวจสอบกองทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลได้รับแรงหนุนจากกองทัพ เพราะผู้นำรัฐบาลมาจากการรัฐประหาร แม้จะพยายามแปลงร่างเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีอิทธิฤทธิ์ของทหารจำนวนมากที่ถูกดึงเข้าไปเป็นสมาชิกวุฒิสภา แล้วสมาชิกวุฒิสภาก็ดันมีสิทธิ์พิเศษลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี
แต่หากจะว่ากันตามความจริงแล้ว แม้ในยุคที่ไทยมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่ารัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งจะสามารถเข้าไปตรวจสอบการใช้งบประมาณของกลาโหมและเหล่าทัพต่างๆ ได้อย่างจริงจัง มิหนำซ่้ำ รัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งบางชุดยังดันทุรังตั้งญาติพี่น้องของตนเข้าไปเป็นผู้บัญชาการทหารบกอีก
เพราะฉะนั้น กล่าวโดยตรงว่า ไม่ว่ารัฐบาลไทยจะมาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากรัฐประหารก็ไม่เคยเข้าไปตรวจสอบความโปร่งใสการใช้งบประมาณของกองท้พได้
นั่นแสดงโดยนัยว่า กองทัพไทยน่าจะมีอำนาจและอิทธิพลเหนือรัฐบาลมาโดยตลอด เพราะไม่เคยมีสักยุคที่กองทัพไทยจะถูกรัฐบาลตรวจสอบการใช้งบประมาณได้อย่างจริงจัง และทุกรัฐบาลก็ยังอนุญาตให้กองทัพไทยอ้างคำว่างบฯ ราชการลับได้เสมอมา
มีเรื่องน่าสังเกตอีกประการคือ เมื่อเกิดการร้องเรียน หรือเปิดโปงการทุจริตต่างๆ นานาภายในกองทัพ ไม่ว่าจะกองทัพใดก็ตาม เรื่องร้องเรียนนั้นจะถูกทำให้เงียบหายไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ผู้ร้องเรียนเรื่องทุจริตในกองทัพจะถูกลงโทษอย่างหนัก และถูกปลดจากราชการตัวอย่างที่เห็นชัดเจนเมื่อประมาณสองปีนี้คือ กรณีหมู่อาร์ม สิบเอกณรงค์ชัย อินทรกวี
หลายคนที่ติดตามข่าวของหมู่อาร์ม ย่อมทราบดีว่ามีการทุจริตภายในกองทัพจริง แต่แม้สาธารณชนจะไม่ติดตามข่าวของหมู่อาร์ม แต่ก็ย่อมทราบดีว่ามีการทุจริตด้วยกลอุบายและกรรมวิธีต่างๆ นานา สารพัดภายในกองทัพ
สำหรับเรื่องที่หมู่อาร์มเปิดเผยคือ การทุจริตเบี้ยเลี้ยงทหาร หมู่อาร์มรับราชการที่กรรมสรรพาวุธทหารบก เริ่มรับราชการเมื่อปี 2554 มีตำแหน่งสุดท้ายคือเสมียนงบประมาณ แผนกโครงการและงบประมาณ กองแผนและโครงการ ศูนย์ซ่อมสร้างอุปกรณ์
สิ่งสำคัญที่หมู่อาร์มเปิดเผยกับสื่อมวลชนคือ แปลกใจมากที่มีชื่อของตนเองถูกนำไประบุในเอกสารเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงต่างๆ ทั้งๆ ที่ตัวหมู่อาร์มไม่ได้เดินทางไปไหนเลย
หมู่อาร์มบอกว่า หากไม่ให้ความร่วมมือในการทุจริต ก็จะถูกลงโทษทางวินัย ถ้าขัดขวางก็จะถูกกลั่นแกล้งด้วยกลอุบายอื่นๆ เช่น หากลาป่วยจะถูกระบุว่าขาดราชการ กลายเป็นผิดวินัยทหาร
สิ่งหนึ่งที่หมู่อาร์มเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังคือ ทำใจไว้แล้ว แต่แม้จะทำใจก็ยังถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา หมู่อาร์มเล่าด้วยว่าเขาต้องทำอาชีพเสริมคือขับรถแท็กซี่ เพราะเงินเดือน เดือนละ 1 หมื่น 4 พันบาท ไม่เพียงพอกับการเลี้ยงชีวิตและเลี้ยงครอบครัว (คือลุงกับป้า) การทำอาชีพอื่นเสริมอาชีพทหารทำให้บางวันไปเข้าแถวในช่วงเวลาเช้าไม่ทัน จึงถูกจำหน่ายว่าขาดแถว แล้วมีผลต่อการพิจารณาเงินเดือนในช่วงปลายปี หมู่อาร์มบอกว่ายอมรับได้กับการถูกลงโทษเพราะไปเข้าแถวเช้าไม่ทันเวลา แต่เมื่อดูจากเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน ซึ่งเป็นเด็กนาย ปรากฏว่าเด็กนายก็ขาดแถวเช้า ทำไมคนอื่นขาดแถว แล้วไม่โดยลงโทษ ในขณะที่ตัวเองแม้จะขาดแถวเช้าก็จริง แต่ก็ทำงานตามภารกิจประจำวันได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ทุกประการ ไม่ขาดตกบกพร่องในหน้าที่ แต่ผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานไม่เคยมองเห็นเรื่องนี้
หมู่อาร์มบอกด้วยว่า เวลาที่นายทหารบางคนที่มียศสูงกว่าทุจริตเอาเงินของทหารชั้นผู้น้อยไป ทำไมเขาทำได้ มันไม่ยุติธรรมกับทหารผู้น้อย เป็นการกดขี่ข่มเหงโดยทหารบางคนที่ยศสูงกว่า (อ่านรายละเอียดข่าวนี้เพิ่มเติมได้จากหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับ โดยพิมพ์คำค้นหาว่า หมู่อาร์ม ณรงค์ชัย อินทรกวี และอ่านเพิ่มเติมได้จาก BBC NEWS ไทย(https://www.bbc.com/thai/52939264)
กรณีของหมู่อาร์มเป็นเพียงปัญหาหนึ่งในหลายร้อยหลายพันปัญหาที่เกิดกับกองทัพไทย อันที่จริงคนไทยจำนวนมากต่างรู้ดีว่า มีการทุจริตอื่นๆ อีกมากมายในกองทัพเช่น เรื่องทหารเกณฑ์ถูกนำไปใช้เป็นแรงงานส่วนตัวในบ้านของทหารที่ยศสูงกว่า ทั้งๆ ที่ทหารบางรายเกษียณราชการไปแล้ว และหลายต่อหลายกรณีพบว่านำทหารเกณฑ์ และทหารชั้นประทวน รวมถึงทหารสัญญาบัตรบางรายไปรับใช้ทหารยศสูงกว่า แต่มิใช่แค่เพียงรับใช้ทหารยศสูงกว่าเท่านั้น ยังใช้เสมือนเป็นคนรับใช้ของลูกเมียทหารยศสูงกว่าอีกด้วย สำหรับกรณีการนำทหารเกณฑ์ไปใช้แรงงานในบ้านของทหารยศสูงกว่าจึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เกณฑ์ทหารเพื่อนำทหารเกณฑ์ไปเป็นขี้ข้าประจำบ้านของทหารที่ยศสูงกว่า กระนั้นหรือ ทหารเกณฑ์มีหน้าที่รับใช้ทหารยศสูงกว่า หรือลูกเมียของทหารยศสูงกว่าหรือ
ผู้ที่ติดตามข่าวหมู่อาร์มจะทราบดีว่าหลังจากเขานำเรื่องทุจริตไปร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2562 แต่ภายหลังจากผู้ตรวจการแผ่นดินทำเรื่องกลับไปยังหน่วยงานต้นสังกัดของหมู่อาร์ม กลับทำให้หมู่อาร์มถูกกลั่นแกล้งสารพัด และกลายเป็นมีข้อพิพาทกับผู้บังคับบัญชา จนถูกตั้งคณะกรรมการสอบวินัยทหาร โทษฐานไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา จนถูกลงโทษจำขังเป็นเวลา 7 ว้น เมื่อ 12 มีนาคม 2563 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476
ต่อมาหมู่อาร์มร้องเรียนเรื่องนี้ไปยัง สายตรง ผบ.ทบ. (ยุคอภิรัชต์ คงสมพงษ์) แต่ในวันเดียวกันนั้น หมู่อาร์มได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้าแผนกให้ไปขอขมาผู้บังคับบัญชา และเปิดเผยด้วยว่ามีการข่มขู่ถึงขั้นเอาชีวิตจากผู้ที่ไม่บอกชื่อจริง จนที่สุดต้องไปร้องเรียนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และร้องขอให้คุ้มครองพยานตามกลไกกฎหมาย
กรณีศึกษาเรื่องของหมู่อาร์มทำให้สาธารณชนเห็นว่า มีความไม่เป็นธรรม และมีเหตุทุจริตเกิดขึ้นจริงในกองทัพไทย และเชื่อว่าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมายาวนานแล้ว แต่ก็ยังคงมีเหตุทุจริตเช่นนี้เกิดขึ้นต่อไป แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นก็ถูกทำให้เงียบหายไปทุกเรื่อง
มาล่าสุดได้ปรากฏเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปาง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้สาธารณชนตั้งคำถามมากมายไปยังกองทัพเรือ และกองทัพไทย รวมถึงกระทรวงกลาโหมในเรื่องการใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในแต่ละปี โดยคำถามหนึ่งที่ถูกถามมากมายคือ ทำไมจึงมีเสื้อชูชีพไม่เพียงพอกับจำนวนกำลังพลที่ลงไปในเรือหลวงสุโขทัย เรื่องนี้ถูกตั้งคำถามด้วยว่า กองทัพเรือให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพและความปลอดภัยของกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่มากน้อยเพียงใด ส่วนเรื่องประสิทธิภาพและความสามารถของนายทหารที่ดูแลรักษาเรือ ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่สาธารณชนตั้งคำถามมากมาย พร้อมๆ กับคำถามเรื่องประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์กลไกต่างๆ ของเรือลำที่อับปาง
ขอย้ำว่า กรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปาง เป็นเรื่องที่สาธารณชนกำลังเฝ้ารอคำตอบที่กระจ่างชัดจากผู้บริหารสูงสุดของกองทัพเรือ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และขณะเดียวกันสาธารณชนก็เฝ้าติดตามความกระจางชัดในกรณีต่างๆ ที่มีการระบุถึงเหตุทุจริตสารพัดชนิดภายในเหล่าทัพต่างๆ เช่นกัน
พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปกองทัพไทยอย่างจริงจังเป็นรูปธรรมภายในกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยโดยกำลังของกองทัพไทย ขอย้ำว่าการเรียกร้องให้ปฏิรูปกองทัพไทย ไม่ใช่การล้มล้างกองทัพไทยแต่เป็นการกระทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสมรรถภาพขั้นสูงสุดของกองทัพไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี