lเรื่องกรอบคิดสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่ง ในชีวิตของมนุษย์ที่เกิดมา ครั้งเดียว ตายครั้งเดียว คือ
เรื่องสุขภาพกายและใจของคน เป็นไฉน อย่างไร?
เป็นเรื่องแปลกแต่จริง
เรื่องที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตมนุษย์ คือ “สุขภาพ กายใจ ของเรา”
แต่มนุษย์ส่วนใหญ่กว่า ๙๐% ไม่ได้ให้ความสำคัญเลย
๑.ไม่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพกาย ยกชีวิตให้หมอ ยา สมุนไพร ฯลฯ
๒.ไม่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพใจ ยกชีวิตให้ พระ พระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไสยศาสตร์ อภินิหาร
lไม่ได้คิดด้วยความรู้ สติปัญญาว่า “ความจริง คืออะไร”
ความจริงแท้แน่นอน คือ
เรื่องของกาย (สุขภาพ ) และใจ จิตใจ ความรู้สึก ความรับรู้อารมณ์ จิตวิญญาณฯ
๑.ผู้ที่รู้ดีที่สุด คือ “เจ้าของ กายและใจ” คือ “ตัวเราเอง”เพียงแต่เรา ยังไม่มีความรู้จริงเพราะเรา ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ และเอาใจใส่ อย่างจริงจัง เพราะ “ความไม่รู้ ไม่เคยศึกษาอย่างแท้จริง”
๒.ส่วนหมอ พระ ฯลฯ เป็นผู้มีความรู้ทางกาย ใจจากการศึกษาและปฏิบัติมีประสบการณ์และเป็นบุคลากร (หรือหน่วยงาน) ที่มีหน้าที่ในการดูแลรักษา ป้องกัน
lประเด็น และเหตุผลที่สำคัญที่เป็นจุดอ่อนของสังคมมนุษย์ คือ
๑.ทั้งเจ้าของชีวิต คือ เจ้าตัว และหมอ พระฯ ไม่ได้ทำหน้าที่ ที่ถูกต้องของตนอันเกิดจาก การขาดความรู้ และคุณธรรม การขาดความเคารพตนเอง ผู้อื่น (คนไข้ กายและใจ)ขาดความรัก ความรับผิดชอบ ขาดจรรยาบรรณติดอยู่ในกับดักของสังคมบริโภค ความเห็นแก่ตัว ไม่มีเวลาให้ผู้อื่น
๒.สังคมทุนนิยม ในส่วนที่เห็นแก่ตัว กำไร เป็นสรณะสังคมเป็นปัจเจก ไม่ได้สนใจในเรื่องผู้อื่นที่จะช่วยเหลือแนะนำสิ่งที่ถูกต้องสังคมที่มักชอบแสดงความเห็น วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น นอกจากตัวเอง
๓.เป็นสังคมที่ขาดความคิด ความรู้ ปฏิเสธ วิทยาศาสตร์ รัฐ ฯลฯ ขาดการใช้เหตุผลนำทาง ในการใช้ชีวิตการรักษาและการดูแลป้องกัน
lการศึกษาเรียนรู้อย่างจริงจัง กับผู้รู้จริง (คิดและปฏิบัติ ที่ก่อผลดีจริง) ในเรื่อง “กายใจ”
อย่างมีกระบวนการเรียนรู้และปฏิบัติ และเป็นวิทยาศาสตร์ ตรวจสอบและอธิบายได้อย่างมีเหตุผลจะก่อคุณค่าและประโยชน์ใหญ่หลวง ต่อ “ชีวิตเรา ผู้อื่น ส่วนรวม” และต่ออนาคตของลูกหลาน
ความจริง อันเป็นหลักการพื้นฐานของมนุษย์
ความประเสริฐของมนุษย์ ที่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานอื่นๆ คือ
๑.มนุษย์สามารถฝึกฝน และพัฒนาตน ร่างกาย จิตใจ ให้ดีขึ้นได้
๒.มนุษย์สามารถปรับปรุงแก้ไข ข้ออ่อน บกพร่อง ได้ หากมีความคิดและการปฏิบัติที่ถูกต้อง
๓.จิตใจและร่างกาย (อวัยวะต่างๆ) มีศักยภาพสูงมาก ในการพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น
๔.การเรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ที่จะทำให้เราเข้าใจถึงการพัฒนากายและใจในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
๕.การศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะทำให้เรา มี“กายและใจ” ที่เข้าสู่ความสมบูรณ์ ยืนยาวขึ้น
lผลดีที่ปรากฏในชีวิตมนุษย์ ที่มีการพัฒนามากขึ้น สูงขึ้น คือ
๑.มนุษย์เรามีอายุที่ยืนยาวขึ้นมาเรื่อยๆ
๒.สุขภาพกายใจของมนุษย์ดีขึ้น
๓.ชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น
๔.การเจ็บไข้ได้ป่วย มีการรักษา ป้องกัน บริการทางด้านการแพทย์ต่อโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น
๕.ความเข้าใจ ในเรื่องของ มนุษย์ ทั้ง กาย ความคิด จิตใจ มีมากขึ้น มีเหตุมีผลมากขึ้น
๖. ฯลฯ
lแต่ขณะเดียวกัน ก็มีด้านที่เป็นอุปสรรค ในชีวิตของคน และสังคม โลก มากขึ้น จาก :
๑.สังคมที่ไม่เท่าเทียม เป็นธรรม มีความเหลื่อมล้ำ ทำให้ช่องว่างห่างกันมากขึ้น
๒.ความโลภ โกรธ หลง อวิชชา อัตตาฯ ของมนุษย์ ที่เน้นตัวเอง ไม่สนใจผู้อื่นที่ยังคงมีอยู่
๓.ระบบและโครงสร้าง ของ “ผู้มีหน้าที่ พระ หมอฯ”ที่ขาดความรับผิดชอบเอาใจใส่ฯ ไม่ได้ “สร้างและให้องค์ความรู้ที่ถูกต้องแก่เพื่อนมนุษย์ ” กลับสร้างให้เกิดการพึ่งพาแทนการพึ่งตนเอง ในการรักษา “กายและใจ” ของผู้คน
๔.ความขัดแย้ง ชิงดีชิงเด่น เป็นเจ้าโลก ภูมิภาคสร้างปัญหา และวิกฤตขึ้น
๕.การพัฒนาในด้านลบ ก่อให้เกิด “สิ่งแวดล้อมโรคภัยไข้เจ็บ” ที่มีการพัฒนา รุนแรง อันตรายมากขึ้น
๖. ฯลฯ
lความเข้าใจ และองค์ความรู้ที่ถูกต้องต่อ เรื่อง “กาย ใจ” ของมนุษย์
๑.กายใจ ของมนุษย์ สามารถพัฒนา แก้ไข ปรับปรุง ลดข้ออ่อน เสริมและพัฒนาข้อดีได้เสมอ
๒.การใส่ใจ ศึกษาหาความรู้ และการรักษาป้องกัน ด้วยตนเองเป็นหลัก ต้องพึ่งพาตนเอง
๓.สังคมมนุษย์ ทั้งที่ผ่านมาและในยุคปัจจุบันมีความผิดพลาดใหญ่ คือ การพึ่งพา หมอ พระฯ เป็นหลัก ขาดการพึ่งพาและรับผิดชอบตนเองและครอบครัวเพียงแต่เราขาดความรู้ ซึ่งต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น ด้วยตนเอง จากหมอ และพระ ที่เราเชื่อและศรัทธา
๔.การที่จะทำให้สังคมรับรู้ได้ดีและถูกต้อง ต้องเกิดจาก “ความร่วมมือ อย่างจริงใจ อย่างมีความรับผิดชอบร่วมกันของคน” (ผู้เป็นเจ้าของร่างกาย) และผู้มีหน้าที่ (พระ หมอฯ)
๕.คนเราสามารถเรียนรู้ และเข้าใจชีวิตกายใจอย่างถูกต้องได้ ต้องใช้เวลาให้ความสนใจจริงในการศึกษา และสรุปผลจาก “ความป่วยไข้ไม่สบาย กายใจของเรา” อย่างเอาใจจดจ่อต่อเนื่องหมอ พระฯ ที่มีความรู้ สามารถรักษาเราฯ ได้ ก็มาจากการศึกษาหาความรู้ ในระบบการศึกษาฯหากเราเอาจริง ศึกษาเรียนรู้อย่างถูกต้อง ด้วยสติปัญญา ความจริง
ในที่สุดเราก็จะกลายเป็นหมอ เป็นพระ ของตัวเอง
lได้นำเสนอ ในเชิงความรู้ หลักการฯ มาพอควรแล้ว จะขอลงสู่ประเด็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นและเข้าใจมากขึ้น ผ่านเพื่อนรักของผม ๒ คน
๑.คนแรกเป็นโรคพาร์กินสัน
๒.คนที่สอง มีอาการของหัวใจที่รุนแรง
lคนแรก เป็น โรคพาร์กินสัน (Parkinson’sDisease)
อาการพาร์กินสัน มีทั้งพาร์กินสันแท้ ที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาท และ
พาร์กินสันเทียม ที่มีอาการคล้ายกัน แต่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การทานยาบางชนิด เส้นเลือดสมองตีบหรือภาวะน้ำคั่งในโพรงสมอง
อาการของผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีอาการสั่น กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง เคลื่อนไหวช้า เดินเซ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ รวมถึงทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ
ปัจจุบันโรคพาร์กินสันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาให้อาการไม่แย่ลงได้โดยการรักษา มีทั้งการรับประทานยา การทำกายภาพบำบัด รวมถึงการผ่าตัดในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยา
เพื่อนรายนี้ มีอาการดีขึ้น อย่างผิดหูผิดตา ที่สร้างความสุขให้กับเพื่อนๆ
สาเหตุที่ทำให้เขาดีขึ้น
๑.ทั้งหมอและคนไข้ ต้องเอาใจใส่จริง มีความผิดชอบฯ
(๑) หมอ ต้องถือว่า “คนไข้ : เป็นพ่อแม่ ลูก เมียสามี พี่น้อง ของตน” ต้องให้เวลา สนใจ ติดตาม คุยถึงอาการ เป็นระยะ ต่อเนื่อง จากคนไข้และต้องมีการพัฒนาการรักษาให้ถูกต้อง สอดคล้องกับสภาพสภาวการณ์ป่วยของคนไข้
(๒) คนไข้ ต้องทำตัวเป็นหมอคนที่สอง
ต้องเอาใจใส่ และเรียนรู้ เรื่องการป่วยไข้ อาการของตนเป็นระยะ เรียนรู้จากอาการป่วยไข้ของตน การรักษา ให้ยาของหมอการซักถาม ให้หมอ บอกอาการ และผลของการรักษา เป็นระยะๆ ต้องปรับปรุง พัฒนาตนเอง ไปตลอด
๒.โรคนี้ มีคนเป็นมากพอควร และ โรงพยาบาลมีหมอ ห้อง และการบริการจำกัด ซึ่งทำให้ “การพึ่งตนเอง ของ คนไข้” มีความสำคัญ มากขึ้นรวมทั้ง ครอบครัว ที่ต้องมีความเข้าใจ ทั้งคนไข้ หมอ โรงพยาบาลการเห็นอกเห็นใจ การเข้าใจสภาพ และการให้กำลัง เป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง
lคนที่สอง มีอาการของหัวใจที่รุนแรง : ติดตามตอนหน้า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี