นับเป็นเวลาสิบเจ็ดปีกว่าแล้ว ที่สังคมไทยเกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง หลังจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทย โดยการนำของ นายทักษิณ ชินวัตร ถูกยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ในเบื้องต้นที่ถูกยึดอำนาจ ข่าววงในเปิดเผยว่าผู้สูญเสียอำนาจคิดจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นและใช้กำลังทหารต่างชาติร่วมกับทหารไทยบางส่วนยึดอำนาจคืน แต่มีคนห้ามไว้ว่า ทำไปมีแต่เสียกับเสีย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาความพยายามกลับบ้านของนายทักษิณ ก็เคลื่อนไหวตลอดมา โดยมีพรรคพวกสมุนบริวารของนายทักษิณ เริ่มต้นจากความพยายามขอพระราชทานนิรโทษให้ แต่ขัดกับกฎหมายที่บัญญัติว่านิรโทษกรรม หรืออภัยโทษได้สำหรับผู้กระทำความผิดรับโทษมาแล้วระยะหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้สนับสนุนและสมุนบริวารของผู้เสียอำนาจ เริ่มก่อการประท้วงรุนแรง และพาลกล่าวหาว่าสถาบันฯสนับสนุน หรือ สั่งการให้ทหารยึดอำนาจ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนไทยที่จงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุดของชาติ
ประเด็นความต้องการกลับบ้านของผู้ถูกยึดอำนาจเลยกลายเป็นความขัดแย้งความแตกแยกอย่างรุนแรงของสังคมไทยมานานเกือบสองทศวรรษ
ในท่ามกลางความแตกแยกที่ทำให้ประเทศเกือบกลายเป็นรัฐล้มเหลว ฝ่ายสูญเสียอำนาจก็พยายามทุกวิถีทางทั้งบนดินใต้ดินและทางการเมืองในทางการเมืองในห้วงเวลาสิบสี่ปีที่ผ่านพรรคสนับสนุนนายทักษิณชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศสามสมัย และนายกรัฐมนตรีนอมินีของนายทักษิณ ก็ใช้เผด็จการรัฐสภาออกกฎหมายนิรโทษกรรมช่วยให้นายทักษิณได้กลับมาโดยไม่ต้องรับโทษ แต่การใช้เผด็จการรัฐสภาถูกมวลมหาประชาชนนับล้านๆ คนประท้วงขัดขวางจนเกิดความวุ่นวาย สุดท้าย ทหารนำโดยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ออกมากอบกู้ปัญหาวิกฤตชาติ
แต่แปดปีที่ผ่านมาพูดได้เต็มปากว่า รัฐบาลทหารของพลเอกประยุทธ์ล้มเหลวในการปฏิรูปประเทศ และแก้ปัญหาความขัดแย้งความแตกแยกของสังคมไทย ในประเด็นนายทักษิณโดยสิ้นเชิง
นายทักษิณยังคงมีอิทธิพลเหนือพรรคการเมืองมวลชนเสื้อแดงและข้าราชการบางส่วนที่เลวร้ายไปกว่านั้น หลังจากเลือกตั้งปี 2562 พรรคพลังประชารัฐ ที่เสนอพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ไปรวบรวม สส.จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยเป็นคนสนิท เป็นมือทำงานของนายทักษิณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีร่วมคณะหลายคน
โดยที่พลเอกประยุทธ์ไม่ได้สงสัยว่า สส.และรัฐมนตรีบางคน เป็นไส้ศึก ศัตรูทางการเมืองเข้าทำลายความมั่นคง และพยายามช่วยเหลือศัตรูทางการเมือง
คอลัมน์นี้ ได้ยินข่าวเรื่องไส้ศึก มานานแล้วและแหล่งข่าวไส้ศึกในรัฐบาลของ “ลุงตู่” เคยชี้ให้เห็นความผิดปกติหลายครั้ง เช่น กรณีนักโทษชายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อใส่ชุดสูท ไปพบแฟนคลับในงานศพบิดาซึ่งทางกรมราชทัณฑ์แถลงเพิ่งแก้กฎระเบียบหนึ่งวันก่อนหน้า หรือกรณีรัฐมนตรียุติธรรมเข้าไปนั่งคุยกับจำเลยคดี 112 ในเรือนจำ ล่าสุด รัฐมนตรียุติธรรมถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อเห็นจำเลยคดี 112 อดอาหารประท้วงศาลและกระบวนการยุติธรรม
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับไส้ศึกในรัฐบาลลุงตู่บอกกับคอลัมน์ทวนกระแสข่าวนานแล้วว่าหลังจากยุบสภา ไส้ศึกหลายคนจะกลับไปอยู่กับพรรคเพื่อไทยหลังจากทำภารกิจช่วยเหลือนายทักษิณเรียบร้อยแล้ว
โชคร้ายผู้เขียนประสบอุบัติเหตุรถชนขณะปั่นจักรยานออกกำลังกายตอนเช้ามืดวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เท้าหัก สะโพกแตก แขนขวาผิดรูป ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์ 27 วันระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่ได้ติดตามข่าวเลย
แต่เมื่อออกจากโรงพยาบาล มาพักฟื้นอยู่บ้านที่หลังสวน ชุมพร เป็นธรรมชาติของคนทำข่าวมาตลอดชีวิต ก็อดติดตามข่าวไม่ได้ จนพบว่า รัฐบาลยุบสภาแล้ว และ จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566
ข่าวที่ติดตามทั่วไป ก็ไม่มีอะไรใหม่นอกจากโพลล์ต่างๆ ทำนายว่า พรรคนั้นจะชนะเลือกตั้งได้เท่านั้นเท่านี้คะแนน แต่มีอยู่ข่าวหนึ่งที่ทำให้ประหลาดใจว่า มันเป็นไปได้อย่างไร คือ ข่าวนายทักษิณพร้อมจะกลับมารับโทษ
จนกระทั่ง วันเสาร์ที่ 1 เมษายน ที่ฝรั่งเรียกว่าวันเมษาหน้าโง่ คือ ใครมีอะไร ก็หลอกอำกันได้
แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดกับไส้ศึกในรัฐบาลประยุทธ์โทรศัพท์มาบอกว่า“ที่นายทักษิณกล้าพูดว่า พร้อมจะกลับมารับโทษ เพราะรัฐมนตรีที่แปรพักตร์ไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย ได้เตรียมการไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
คือได้แก้กฎกระทรวงใหม่ว่า ด้วยเรื่องนักโทษหนีคดี คือหากนักโทษหนีคดี สารภาพผิดและยอมรับโทษ นักโทษสูงอายุ หรือมีปัญหาสุขภาพ สามารถขอไปกักตัว ที่โรงพยาบาล หรือสถานที่กักขังที่เหมาะสมได้ ดังนั้นหากนายทักษิณกลับมาผมฟันธงว่า จะไปอยู่โรงพยาบาล พระรามเก้า แทนที่จะอยู่ในคุก”
แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดกับไส้ศึกพลเอกประยุทธ์ ยังพูดถึงดีลลับ พลังประชารัฐ กับ เพื่อไทย แต่เข้าใจว่า เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้ว ส่วนประเด็นที่แหล่งข่าวบอกเรื่องแก้กฎกระทรวงช่วยนักโทษหนีคดี ในวันเมษาหน้าโง่
ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะแหล่งข่าวคนนี้ เคยบอกข่าวล่วงหน้าในการเคลื่อนไหวของไส้ศึกในรัฐบาลลุงตู่หลายครั้งแล้ว
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี