ท่ามกลางกระแสการหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังเข้มข้นขึ้นทุกวันพรรคการเมืองต่างก็พากันหยิบยกนโยบายต่างๆ ที่จะช่วยเหลือดูแลสุขภาพและปากท้องของประชาชนขึ้นมาชูเป็นประเด็นเรียกความนิยม ในบรรดานโยบายเหล่านั้น เรื่องของการเติมเงินเข้ากระเป๋าประชาชน การลดหนี้ การขึ้นค่าแรง การสร้างงานและการส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมไปถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและหารายได้เข้ารัฐให้มากขึ้นล้วนเป็นนโยบายที่มักจะถูกพูดถึงจากเกือบทุกพรรคในทุกๆ ครั้งของการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน ก็มีหลายพรรคการเมืองที่พยายามหาความแตกต่างให้กับนโยบายของตนเองด้วยการตอบโจทย์สังคมรุ่นใหม่ที่มีความคิดและเปิดกว้างมากขึ้น เช่น การสนับสนุนอาชีพผู้ค้าบริการทางเพศ การอนุญาตให้ Sex Toy เป็นสินค้าถูกกฎหมาย เปิดกาสิโนถูกกฎหมาย หรือบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ด้วยหวังว่านโยบายพวกนี้จะส่งให้พรรคได้จำนวนสส. เข้าไปทำหน้าที่ในสภาได้มากขึ้น เช่นเดียวกับที่นโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทยทำสำเร็จมาแล้วในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
แน่นอนว่าประเด็นเหล่านี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงและมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ในทางตรงกันข้าม เมื่อมองไปรอบๆ ประเทศประเด็นเหล่านี้กลับเป็นเรื่องธรรมดา และได้รับการควบคุมอย่างถูกกฎหมายในหลายๆ ประเทศ เช่น sex toy ซึ่งเป็นสินค้าที่ถูกกฎหมายในญี่ปุ่น บุหรี่ไฟฟ้าก็ถูกกฎหมายในเกือบ 80ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงการพนันหรือกาสิโนถูกกฎหมายที่มีมากกว่า 600 แห่งทั่วประเทศในสหรัฐอเมริกา เพราะต่างก็มองว่าการทำให้ถูกกฎหมายนอกจากจะช่วยทำให้รัฐสามารถบังคับใช้กฎหมายควบคุมประชาชนกลุ่มที่ไม่ต้องการให้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ เช่น เด็กและเยาวชน ได้แล้ว รัฐยังสามารถเก็บภาษีเข้าประเทศได้อีกด้วย
ดังเช่นกรณีล่าสุดในประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างมาเลเซียซึ่งสำนักข่าว MalayMail รายงานว่า นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศมาเลเซีย ดาโต๊ะ ซรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม ประกาศจะมีการเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับผลิตภัณฑ์ของเหลวหรือเจลที่มีนิโคติน โดยเงินภาษีครึ่งหนึ่งจะมีการจัดสรรให้กับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งคำประกาศดังกล่าวมีขึ้นระหว่างการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2566 โดยนายอันวาร์ ระบุว่า แม้ว่าของเหลวหรือเจลนิโคตินที่ใช้กับบุหรี่ไฟฟ้าจะยังคงผิดกฎหมายในเชิงเทคนิค แต่ปัจจุบันก็มีการใช้ให้เห็นกันเป็นจำนวนมากในประเทศ
นายอันวาร์ ยังเคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย กล่าวว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีอยู่ทั่วไปและคาดว่ามีมูลค่าตลาดกว่า 2 พันล้านริงกิต หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท จึงเชื่อว่าจะเป็นผลดี หากมีการควบคุมและเก็บภาษี ซึ่งนอกจากจะมีส่วนช่วยลดการใช้บุหรี่ไฟฟ้าแล้ว รายได้ครึ่งหนึ่งจากเงินภาษี จะถูกนำไปให้กับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศต่อไป
นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย เสริมว่า จะใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่ออุดการรั่วไหลของรายได้นี้ จากกลุ่มผู้ลักลอบค้าของเถื่อน เช่น น้ำมันดีเซล แอลกอฮอล์ และบุหรี่ โดยที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เคยได้ประกาศว่าจะเก็บภาษีสำหรับของเหลวที่มีนิโคติน โดยการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตที่ 1.20 ริงกิตมาเลเซียต่อมิลลิลิตร หรือประมาณ 9.35 บาทต่อมิลลิลิตร แต่ข้อบังคับนี้ได้ถูกเลื่อนออกไป
การคาดการณ์ของบริษัทยาสูบชั้นนำในประเทศมาเลเซียรายหนึ่งเผยว่ารัฐบาลเสียโอกาสในการเก็บภาษีจากน้ำยานิโคตินที่ใช้กับบุหรี่ไฟฟ้ามูลค่าถึง 866 ล้านริงกิต หรือประมาณ 6.7 พันล้านบาท และยังสูญเสียรายได้ภาษีอีกประมาณ 5,000 ล้านริงกิต ให้กับการลักลอบนำเข้าบุหรี่ผิดกฎหมายในปีที่ผ่านมา
จะเห็นว่าปัญหาในมาเลเซียที่ต้องหาทางรับมือกับภาษีที่หายไปเพราะสินค้าเถื่อน สินค้าผิดกฎหมายก็ไม่ต่างจากประเทศไทยสักเท่าไร เพราะบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยก็ยังคงเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน จึงน่าติดตามต่อไปว่าแนวทางของมาเลยเซียจะแก้ปัญหาได้เด็ดขาดจริงหรือไม่ เผื่อว่ารัฐบาลใหม่ของเราจะได้มีแนวทางตัวอย่างไว้ศึกษาบ้าง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี