นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียง ที่อำเภอบ้านโป่ง
กล่าวด้อยค่า บิดเบือน โจมตีนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ระบุว่า “นายกฯ คนปัจจุบันไม่เคยเดินหน้าหาตลาดใหม่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือไม่สนใจ...
...สำหรับนโยบายกระเป๋าตังดิจิทัล คนละ 10,000 บาท อย่าให้ใครมาด้อยค่าว่าไม่ดี เพราะเราคิดมาอย่างดีแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับบางพรรคที่ให้ทีละ 500 700 1,000 บาทต่อเดือนทำอะไรได้เหมือนหยอดน้ำข้าวต้ม แต่นโยบายของเราสามารถทำให้พี่น้องตั้งตัวได้เลย...”
1. ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า
“เป็นนักเรียนนอก แล้วพูดจาดูถูกลุงตู่ว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังดูถูกมหาเศรษฐี และผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่างๆหลายพันคน
การพูดภาษาอังกฤษเก่ง ไม่ได้แสดงว่าบริหารเก่งเสมอไป
คนพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่บริหารเก่งมีมากมาย
ลุงตู่ออกไปเจรจาความเรื่องการค้าระหว่างประเทศกับหลายประเทศ ประสบความสำเร็จมากมายหลายเรื่อง
คนเพิ่งคลานออกจากกะลา ไม่รู้สี่รู้แปดเลยสินะ
คนแบบนี้หรือจะมาบริหารประเทศ มองอะไรแคบจริงๆ”
2. นายอนุชา บูรพชัยศรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่การใช้สิทธิประโยชน์ จากการเจรจาความตกลงการค้าเสรี 12 ฉบับ ในช่วงเดือนมกราคม 2566 ผลักดันให้มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA เดือนมกราคม 2566 มูลค่าส่งออก 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการใช้สิทธิฯ 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ระบุว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) จำนวน 12 ฉบับ ในเดือนมกราคม 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 5,399.38 ล้านเหรียญสหรัฐ
มีสัดส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ กว่า 71.79%
โดยแบ่งเป็นการใช้สิทธิประโยชน์ในกรอบความร่วมมือสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) มีสัดส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ 68.74% มูลค่าการส่งออก 3,026.20 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการใช้สิทธิ 2,081.46 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นสินค้าจำพวก ยานยนต์สำหรับขนส่งของ น้ำตาลรถยนต์ส่วนบุคคล (1500-3000 ซีซี) และน้ำมันปิโตรเลียมและน้ำมันจากแร่บิทูมินัส
อันดับ 2 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มีสัดส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ 78.53% อาทิ มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียนสด ผลไม้สดอื่นๆ และสตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง รวมมูลค่าการใช้สิทธิ 1,208.83 ล้านเหรียญสหรัฐ
อันดับ 3 ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มีสัดส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ 72.97% ในสินค้าจำพวก รถยนต์และยานยนต์อื่นๆ รถยนต์ขนส่งบุคคลขนาด 2500 ซีซีขึ้นไปและขนาด 1000-1500 ซีซี ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ และปลาทูน่าปรุงแต่ง
อันดับ 4 ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มีสัดส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ 75.05% ในสินค้าจำพวก เนื้อไก่และเครื่องในไก่ปรุงแต่ง เนื้อไก่แช่เย็น เดกซ์ทริน และโมดิไฟด์สตาร์ช และกระสอบและถุงทำด้วยพลาสติกรวมมูลค่าการใช้สิทธิ 487.12 ล้านเหรียญสหรัฐ
และ อันดับ 5 ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 70.65% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าสูง และ สารประกอบออร์แกโนอินออร์แกนิกอื่นๆ ลวดทองแดง โพลิเมอร์ของไวนิลคลอไรด์หรือของฮาโลเจเนเต็ด
โอลีฟิน ในลักษณะขั้นปฐมภูมิ รวมมูลค่าการใช้สิทธิ 400.37 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีกรอบความตกลง FTA เช่น ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (AKFTA) ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(RCEP) ที่สร้างมูลค่าการส่งออกมหาศาลเช่นกัน
“นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ผลักดันส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการค้า การใช้สิทธิประโยชน์ในการค้า ตามกรอบความร่วมมือที่รัฐบาลได้ผลักดันจนเกิดการลงนามไว้หลายฉบับ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการส่งออกให้กับผู้ประกอบการในประเทศไทย อีกทั้งเป็นการช่วยขยายตลาด ลดอุปสรรคทางการค้า เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นในการเจรจากรอบความตกลงฯ เพื่อประโยชน์แห่งชาติเป็นที่ตั้ง เชื่อมั่นว่าในภายหน้า จะมีกรอบความร่วมมือที่บรรลุวัตถุประสงค์จากการเจรจาที่ผ่านมาอีกมาก ทั้งในด้านการค้าและการลงทุน รวมทั้งความร่วมมือด้านอื่นที่ไทยมีศักยภาพ” นายอนุชา กล่าว
3. ความจริง คือ ประเทศไทยในยุครัฐบาลลุงตู่ ได้มีการเจรจาขยายการลงทุนการค้า และเปิดตลาดใหม่ต่อเนื่องโดยตลอด
แม่ค้าขายของในตลาดสด ที่รู้จักติดตามข่าวสารบ้านเมือง ก็จะทราบความจริงเรื่องนี้
ไม่ต้องเป็นนักธุรกิจขายบ้าน ที่ได้อานิสงส์จากการบริหารของรัฐบาลจนยอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ (แต่มาหาเสียงโจมตีว่าเศรษฐกิจอยู่ในหลุมดำ)
นักธุรกิจคนไหนเป็นแบบนี้ แบบนี้ มันดูตอแหลมากเกินไปมั้ย
4. กระทรวงพาณิชย์ได้มีการเปิดเผยตัวเลขการส่งออกประจำปี 2565 ที่ผ่านมา (เคยนำเสนอไปแล้ว) ตัวเลขการส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง และมีการขยายไปตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติมมากมาย โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง โดยอาศัยความสัมพันธ์อันดีกับซาอุฯเป็นพื้นฐานต่อยอดต่อไปนั่นเอง
เป็นนักธุรกิจดักดานขนาดไหน จึงจะไม่ทราบเรื่องแบบนี้
5. การคุยโวโอ้อวด ว่าโครงการแจกเงินหมื่นกระเป๋าตังดิจิทัล คิดมาดีแล้ว
แต่ตอบทีไร ไม่เหมือนเดิมกันสักครั้ง
ถึงวันนี้ ยังตอบไม่ได้เลยว่า จะเอาเงินมาจากไหนตั้ง 5.5 แสนล้านบาทมีแต่คำคุยกลวงๆ ความจริง จะต้องกู้เพิ่ม ใช่หรือไม่?
คนขายของจะได้เอาเงินดิจิทัลไปแลกเงินบาทจริงๆ จากไหน เมื่อไหร่ แล้วจะป้องกันการซื้อขายถ่ายโอนเงินดิจิทัลกันได้อย่างไร เพราะบางคนไม่สะดวกที่จะใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่ภูมิลำเนารัศมี 4 กม. ภายใน 6 เดือน?
ยิ่งไปกว่านั้น คุณธนชาติ นุ่มนนท์ ผอ.สถาบันไอเอ็มซี ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี รู้จริงเรื่องบล็อกเชน-เงินดิจิทัล ได้เขียนบทความ
เรียกว่า “ลอกคราบ” นโยบายนี้ เสียล่อนจ้อน!!!
บางตอนระบุว่า
“...การนำเรื่องเทคโนโลยีเข้ามาใช้ถือว่าเป็นเรื่องดี ถ้าสามารถทำได้จริง แต่ส่วนใหญ่เท่าที่ดูแล้วน่าจะเป็นการนำมาเพื่อเติมสีสันให้นโยบายดูทันสมัยขึ้น
สื่อต่างๆ และประชาชนก็ให้ความสำคัญตามกระแสของนโยบาย โดยไม่ได้ถกเถียงกันถึงความเป็นไปได้ของนำเทคโนโลยีมาใช้ในนโยบาย
ทั้งๆ ที่บางเรื่องก็ทราบถึงความเป็นไปได้ แต่ส่วนใหญ่คนวงการวิชาการก็อาจจะนิ่งเฉย และไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องของการเมือง
การนำเทคโนโลยีไอทีมาหาเสียง ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนในสังคมสับสน นักวิชาการควรออกให้คำอธิบาย เพราะความรู้ ถูกหรือผิดไม่ใช่เรื่องของการเมือง การปล่อยให้ประชาชนเข้าใจอะไรผิดๆ เป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่ง และสิ่งสำคัญสื่อทางด้านไอทีควรจะเป็นคนช่วยสร้างความกระจ่างให้กับสังคม ไม่ใช่ปล่อยให้นักการเมืองนำเทคโนโลยีมาสร้างกระแสอย่างผิดๆ
สัปดาห์ที่แล้วเรื่องที่มีคนพูดมากที่สุด คือ การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาช่วยแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
สังคมก็สับสนพอสมควรว่าอะไรคือ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” (Digital Wallet) แล้วเงินที่จะแจกเป็นเงินดิจิทัลแบบใด เป็นเงินคริปโทฯ โทเค็น หรือเงินบาท
และข้อสำคัญคือ ทำไมต้องมาใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ที่พรรคการเมืองบอกว่าเป็นเทคโนโลยีทันสมัยล่าสุด สามารถควบคุมการชำระเงินในรัศมี 4 กิโลเมตร จากทะเบียนของตัวเองได้
จริงๆ แล้วกระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ใช่เรื่องใหม่ บ้านเราก็มี แอปเป๋าตัง หรือ ทรูวอลเล็ต ที่ผู้คนใช้กันเป็นประจำ ซึ่งก็ไม่ใช่เทคโนโลยีบล็อกเชนอะไร เป็นการใช้ดาต้าเบสธรรมดา ซึ่งสามารถเขียนโปรแกรมกำหนดเงื่อนไขชำระเงินได้ ระบบกระเป๋าเงินดิจิทัลเจ้าใหญ่ๆ ทั่วโลกอย่าง PayPal, ApplePay หรือ Alipay ก็ไม่ได้ใช้บล็อกเชนเพราะการใช้จะทำให้การทำธุรกรรมล่าช้า มีค่าใช้จ่ายที่สูง และอาจไม่สามารถจะทำธุรกรรมพร้อมกันจำนวนมากๆ ได้ แม้อาจจะมีข้อดีด้านความปลอดภัย และสามารถกระจายการควบคุมได้
แต่กรณีของกระเป๋าเงินดิจิทัลที่กล่าวมานี้ ยังไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ที่จะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ เพราะเทคโนโลยีทั่วไปก็ทำได้อยู่แล้ว และอาจทำได้ดีกว่าด้วย เนื่องจากระบบปกติสามารถออกแบบให้รองรับธุรกรรมจำนวนมากซึ่งมีความพร้อมใช้อยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่ต้องเสี่ยงกับการพัฒนาที่อาจไม่สำเร็จ
...และอีกอย่างบางประเทศมีความเป็นห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน นอกจากนี้ การพัฒนา CBDC ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา จึงแทบจะฟันธงได้เลยว่าที่จะบอกว่าแจกเงินดิจิทัลที่เป็น CBDC ทำไม่ทันใน 1-2 ปีนี้แน่นอน เพราะประเทศต่างๆ ทั่วโลกแทบไม่มีใครทำสำเร็จในช่วงนี้
หรือแม้แต่การลงทะเบียนกระเป๋าเงินดิจิทัล ได้ฟังนักการเมืองออกมาพูดว่าใครก็ได้ที่มีบัตรประชาชนใช้ได้ทันที ไม่ต้องลงทะเบียน ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะการพิสูจน์ตัวตนเป็นเรื่องจำเป็นยิ่ง ไม่เช่นนั้นอาจมีการสวมสิทธิ์จำนวนมาก และอีกอย่างเราก็มีแอปเป๋าตัง ที่ลงคนละครึ่งอยู่แล้ว หรือระบบการยืนยันตัวตนออนไลน์ ThaID ของกรมการปกครอง ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
การนำเสนอนโยบายด้านเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่นักการเมืองต้องอยู่บนพื้นฐานที่เข้าใจเรื่องเทคโนโลยี และมองความเป็นไปได้ ผมคงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ว่าการแจกเงินเป็นนโยบายประชานิยม และจะทำให้เสียวินัยการเงินการคลังหรือไม่ แต่ในมุมมองของนักวิชาการด้านเทคโนโลยี สิ่งที่นำเสนอแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าจะแจกเงินจริงๆ เราก็อาจนำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วอย่าง “แอปเป๋าตัง และใส่เงินสดเข้าไป ซึ่งก็สามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้ คือแจกเงิน 10,000 บาททุกคนที่อายุเกิน 16 ปี และมีรัศมีการใช้ไม่เกิน 4 กิโลเมตร ไม่ต้องมาบอกว่าจะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและ CBDC ที่คงต้องใช้เวลาอีกนาน”
ดูเหมือนว่า นับวัน คนไทยจะได้เห็น “ตรรกะพิสดาร” กับ “ความจริงบิดเบี้ยว” ของพ่อค้าบ้านที่ฝันอยากเป็นนายกฯ มากขึ้นทุกวัน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี