นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้แจงประเด็นโลกโซเชียลจับโกหกเรื่องการเดินทางกลับมางานศพพ่อ ในช่วงที่เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
อ้างว่า งานศพของคุณพ่อ เป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 - 24 กันยา
สรุปแล้วมาทันหรือไม่ทันกันแน่ คำตอบ คือ มาทันครึ่ง (วันที่ 22-24) “และ” ไม่ทันครึ่ง (วันที่ 18 - 20)
พูดเองเออเองว่า การสัมภาษณ์ของคุณสุริวิภากับของคุณสรยุทธจึงไม่มีอะไรขัดแย้งกัน
อ้างข่าว Channel News Asia รายงานว่า วันที่ 21 กันยายน 2549 เครื่องบินรัฐบาลไทยที่กลับสู่ประเทศไทยหลังการรัฐประหาร โดยลงจอดที่สนามบินกองทัพอากาศ ในช่วงประมาณ 12.40 น. ซึ่งเป็นเครื่องบินลำที่โดยสารมาจากนิวยอร์กและลอนดอน จากรายงานข่าวจะพบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมตัวและตรวจสอบบนเครื่องบินอย่างละเอียด
โวยว่าตัวเอง ถูกกักตัวอยู่ 5-6 ชั่วโมง กว่ารถบัสจะออกมา กว่าจะมีรถมารับ ก็ถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ผมจำได้ว่าถึงบ้านก่อนคุณแม่และน้องที่ใส่ชุดดำกลับมา
แล้วก็ใช้ลีลาดีดดิ้นทิ้งท้ายว่า “อย่างที่ผมเคยได้พูดในหลายโอกาส เมื่อคุณเข้าสู่การเมือง และโดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ก็จะมีการโจมตีกันมาเรื่อยๆ จากนี้เป็นต้นไป ซึ่งผมก็ทราบดีว่าเป็นปกติของการเมือง ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไร”
1. จากการชี้แจงล่าสุด ยิ่งตอกย้ำ มัดแน่น ว่านายพิธา “ปรุงแต่งเรื่องราว” เพื่อให้ร้ายกับทหาร หวังผลสร้างภาพว่าตัวเองก็เคยถูกกระทำ
2. ในการให้สัมภาษณ์รายการ สุริวิภา เมื่อปี 2552
นายพิธายืนยัน และแสดงท่าทีเข้าใจการตรวจของทหารในช่วงเกิดรัฐประหารขณะนั้นอย่างดี
คุณหนูแหม่ม : “เกิดอะไรขึ้น ถึงถูกกักตัว”
พิธา : “พอมันมีเหตุรัฐประหาร ประเทศเขาก็ต้องคัดครองเป็นธรรมดา เขาก็ถามว่าทำไมเป็นนักเรียน แล้วกลับมากับไฟลท์นี้ได้ ซึ่งได้อธิบายไปว่า คุณพ่อเสีย ตั้งใจจะกลับมางานศพท่านให้เร็วที่สุด หลังจากนั้นเขาก็ไม่ว่าอะไร”
คุณหนูแหม่ม : “กักตัวนานไหมคะ”
พิธา : “4-5 ชั่วโมง สายนิดหน่อยแต่ก็ยังทัน”
แต่พอมาเล่าในรายการนายสรยุทธ ได้ปรุงแต่งเรื่องราว น้ำเสียง ท่าที และเปลี่ยนข้อเท็จจริง โดยมุ่งกล่าวโทษทหาร ว่าตรวจค้น กักตัว ทำให้ตนเองไปไม่ทันงานศพ (2 วันแรก ตามที่ชี้แจงเพิ่มเติมภายหลัง)
ในความเป็นจริง เที่ยวบินพิเศษที่ตนเองได้นั่งมาด้วยนั้น ต่อให้ไม่มีการกักตัว ก็ไปไม่ทันงานศพ 2 วันแรก คือ วันที่ 19 และ 20 อยู่แล้ว !!!!!
ยิ่งไปก่วานั้น หากไม่นั่งเที่ยวบินดังกล่าวมา ยังต้องเสียเวลาไปหาเที่ยวบินปกติ ซึ่งจะใช้เวลาอีกกว่า 2 วัน ยิ่งไปไม่ทันงานศพมากกว่าเก่า
กลายเป็นว่า วันที่อยากได้ภาพการถูกกระทำจากทหาร ก็เลย “ปรุงแต่ง” เรื่องราวให้ร้ายทหารอย่างน่าละอาย
3. ประเด็นที่นายพิธาไม่ยอมชี้แจงเลย คือ การโกหกกลบเกลื่อนว่าใช้เส้นเพื่อนั่งเครื่องบินเที่ยวบินพิเศษกลับมา หรือไม่?
ในการให้สัมภาษณ์รายการสุริวิภา เมื่อปี 2552 นายพิธาระบุชัดว่าตนเองเป็นหนุ่มนักเรียนนอก ไม่ได้เป็นทีมทำงานใดๆ
พิธา : “บินของรัฐบาลไทยตอนนั้น เครื่องบินไทยของรัฐบาลที่มีคนของรัฐบาลไปประชุม UN ซึ่งถ้าผมไม่กลับเที่ยวบินนั้น ก็ต้องรอไปอีก 2-3 วัน ก็เลยตัดสินใจกลับมา”
คุณหนูแหม่ม : “ถ้าเดาไม่ผิด น้องทิมอยู่ในเครื่องนั้นที่ส่งกลับมา จากนิวยอร์ก เพื่อที่จะกลับมาเมืองไทย คุณอยู่ในเครื่องนั้นกี่คน”
พิธา : “น่าจะประมาณ 20-30 คน ก็คือข้าราชการ”
คุณหนูแหม่ม : “ทั้งหมดมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าราชการ ยกเว้นคุณ เป็นเด็กคนหนึ่ง ที่ถูกฝากกลับมาในเครื่องบินนั้น แล้วเครื่องลงที่ไหนคะสุวรรณภูมิ หรือดอนเมือง”
พิธา : “ที่กองทัพอากาศ”
คุณหนูแหม่ม : “เกิดอะไรขึ้น ถึงถูกกักตัว”
พิธา : “พอมันมีเหตุรัฐประหาร ประเทศเขาก็ต้องคัดครองเป็นธรรมดา เขาก็ถามว่าทำไมเป็นนักเรียน แล้วกลับมากับไฟลท์นี้ได้ ซึ่งได้อธิบายไปว่า คุณพ่อเสีย ตั้งใจจะกลับมางานศพท่านให้เร็วที่สุด หลังจากนั้นเขาก็ไม่ว่าอะไร”
....
แต่พอคุยกับนายสรยุทธ เริ่มรู้ว่าจะอ้างใช้เส้นคงจะประเจิดประเจ้อ เพราะพรรคตนเองเที่ยวโจมตีเรื่องเส้นสาย
สรยุทธ : “คุณยังไม่เคยมีประสบการณ์การถูกจับ”
พิธา : “ผมเคยมี เมื่อปี’49 ผมเรียนหนังสือ ที่บอสตัน คุณทักษิณ ประชุม UN กับคุณปานปรีย์ และดร.สุรเกียรต์ิ ที่ยังเป็นเลขาฯ UN อยู่ในสมัยนั้น ซึ่งพ่อผมเสีย 19 กันยา 2549 ผมบินมาที่นิวยอร์ก CNN รถถังออก ผมบินกลับมากับคุณทักษิณ ส่งที่ลอนดอน กลับมาที่กองทัพอากาศ คืนแรกผมไปไม่ได้ เขารื้อคอมผม เขาทำผมทุกอย่าง”
สรยุทธ : “แต่คุณไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับรัฐบาลคุณทักษิณนะ”
พิธา : “ผมทำงานให้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในฐานะข้าราชการการเมืองในตอนนั้น”
...
การชี้แจงล่าสุด นายพิธาไม่ยอมกล่าวถึงประเด็นนี้เลย
น่าอดสูใจอย่างยิ่ง
ภาวะผู้นำอยู่ตรงไหน?
ความละอายแก่ใจ อยู่ตรงไหน?
ทำไมไม่แสดงหลักฐานชี้แจงให้ชัดเจนว่า ตนเองเป็นทีมงาน ดร.สมคิดตำแหน่งอะไร ทำงานอะไร แต่งตั้งเมื่อไหร่ เพราะตอนนั้น ยังเรียนอยู่
หรือความจริง ก็คือการใช้เส้นสายของคุณลุง ที่เป็นคนใกล้ชิดอดีตนายกฯ ทักษิณ ทำให้ได้ขึ้นเครื่องบินเที่ยวบินพิเศษกลับมา เป็นอภิสิทธิ์ชน แตกต่างกับคนไทยคนอื่นๆ
4. ในการให้สัมภาษณ์นายสรยุทธ ยังพยายามโจมตีให้ร้ายทหารอีกว่า กักตัว ค้นคอมพ์ อายัดการเงินครอบครัว ต้องวิ่งหาเงินมาจ่ายค่างานศพ
แต่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย
แถมนายปานปรีย์ หัวหน้าคณะผู้แทนการค้าไทยที่เดินทางกลับมาในเที่ยวบินดังกล่าว ซึ่งมีตำแหน่งโดยตรง มีความสำคัญสูงกว่า กลับยืนยันว่า ตนเองไม่ถูกตรวจค้น ไม่ถูกกักตัว แบบที่นายพิธาเล่าเป็นตุเป็นตะ!!!
5. การใช้ลีลาดีดดิ้นทิ้งท้ายว่า “ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ก็จะมีการโจมตีกันมาเรื่อยๆ จากนี้เป็นต้นไป ซึ่งผมก็ทราบดีว่าเป็นปกติของการเมือง ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไร”
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติของนักการเมือง เมื่อถึงเวลาหาเสียงเลือกตั้งมักจะพูดจาเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น บางทีก็พูดให้มีดราม่า ให้คนสงสารเรียกคะแนน แต่ความจริงบ้างเท็จบ้าง ประชาชนก็ต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ ที่สําคัญวันนี้มีโซเชียลมีเดียมีข้อมูลมากมาย
นายชัยวุฒิ กล่าวต่อไปว่า การออกมายุยงปลุกปั่นหรือพูดในทางลบ พูดให้คนเกลียดชังกัน พูดให้คนเกลียดประเทศ เพราะคิดว่าการเกลียดประเทศทําให้ตัวเองชนะเลือกตั้ง ให้คนมาอยากเปลี่ยนประเทศกัน ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นพลังลบมากเกินไป ทำแบบนี้ประเทศอยู่ไม่ได้ มาสร้างความเกลียดชัง โดยเฉพาะเกลียดประเทศตัวเอง แทนที่เราจะสร้างค่านิยมให้คนรู้สึกรักประเทศ ช่วยกันเสียสละเพื่อประเทศและเพื่อทุกคน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี