ความจริงเรื่องมันเกิดขึ้นมานานสิบเจ็ดปีแล้วคือตั้งแต่ 19 ก.ย. 2549 คืนที่นายทักษิณ ชินวัตร ถูกยึดอำนาจขณะที่เตรียมตัวขึ้นปราศรัยในที่ประชุมสามัญสหประชาชาติ ว่ากันว่า นายทักษิณอาจไม่ถูกยึดอำนาจหากไม่เตรียมแถลงการณ์ในทางลบต่อประเทศไทย และ นายทักษิณไม่ได้เตรียมการปฏิวัติตัวเองหากมีการเคลื่อนไหวในประเทศไทย ผู้ใหญ่ที่เคารพบอกกับเราในขณะที่ทำข่าวกับรอยเตอร์สว่า สิ่งแรกที่ทำให้เกิดการสงสัยว่า นายทักษิณ บินออกนอกประเทศเที่ยวนี้เตรียมพร้อมที่จะอยู่ต่างประเทศในระยะยาว กล่าวคือทำไมนายทักษิณ นำกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปถึง 125 ใบ และทำไมนายทักษิณต้องใช้เครื่องบินถึงสองลำ
คือประมาณวันที่ 14 หรือ 15 ก.ย. (จำวันไม่ได้) นายทักษิณนำคณะ ครม. ข้าราชการและสื่อมวลชนขึ้นเครื่องไทยคู่ฟ้า (เครื่องประจำตำแหน่งนายกฯมีคนเดียวและลำเดียวในประเทศไทย) บินจาก บน.6 ไปยังเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ในเครื่องบินไทยคู่ฟ้ามีกระเป๋าเดินทางของนายกฯใบใหญ่ๆ50 ใบ
สามวันต่อมานายกฯสั่งเช่าเหมาลำเครื่องบินโดยสารการบินไทยให้บินตามไปอีกหนึ่งลำ ในเครื่องบินโดยสารการบินไทยมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 75 ใบไม่มีใครรู้ว่าในกระเป๋าเหล่านั้นมีอะไรและผู้โดยสารเดินทางไปกับเครื่องบินมีเพียงเจ็ดคนไปถึงสนามบินเฮลซิงกิกระเป๋าจากเครื่องบินไทยคู่ฟ้าถูกย้ายไปรวมกับกระเป๋าเดินทางที่มากับเครื่องบินการบินไทย หนังสือพิมพ์เฮลซิงกิ ซาโนแมต ลงข่าวว่า นายทักษิณขนทรัพย์สินออกนอกประเทศด้วยกระเป๋าเดินทางร้อยกว่าใบ แต่ไม่ทราบว่าในกระเป๋ามีทรัพย์สินชนิดใดเพราะเขาใช้เอกสิทธิ์ทางการทูตไม่สามารถตรวจสอบได้
ข้อสงสัยที่สองคือในขณะที่ทหารในกรุงเทพฯ ยังไม่เคลื่อนไหวทำไมทักษิณถึงชิงออกประกาศภาวะฉุกเฉินมาจากนิวยอร์ก แสดงว่านายทักษิณได้เตรียมแถลงการณ์ภาวะฉุกเฉินและประกาศปฏิวัติตัวเองไปล่วงหน้าหรือไม่
ที่ตลกกว่านั้นคือ นักข่าวที่ติดตาม นายทักษิณไปตั้งแต่ออกจาก บน.6 ส่งข่าวมาให้เราที่กรุงเทพฯตลอดเวลา เขาเล่าว่านักข่าวจากช่องเก้าที่ถ่ายทอดสดทักษิณประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นฉบับแรก ฉบับที่สองประกาศแต่งตั้ง ผบ.สส. เป็นผู้อำนวยการบริหารประเทศในสถานการณ์ฉุกเฉิน...ถึงตอนนี้ผู้ถ่ายทอดเขียนโน้ตให้นายทักษิณว่าถูกตัดสัญญาณถ่ายทอดสดแล้ว แทนที่นายทักษิณจะหยุดแค่นั้นเขาอ่านประกาศคณะปฏิวัติเป็นฉบับที่สามและประกาศให้ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปรายงานตัวต่อ ผบ.สส. ในกองบัญชาการทหารสูงสุด
นักข่าวที่ติดตามความเคลื่อนไหวในนิวยอร์กบอกผู้เขียนว่าที่นายทักษิณอ่านประกาศต่อไปทั้งๆ ที่ถูกตัดสัญญาณแล้วเพื่อจะแสดงให้คณะที่ติดตามไปมั่นใจว่าอำนาจเด็ดขาดยังอยู่ในมือนายทักษิณ จึงไม่แปลกใจว่าสิบเจ็ดปีผ่านไปทักษิณยังคิดว่าเขามีอำนาจเหนือใครๆ อยู่ในมือ
ต่อไปว่าด้วยเรื่องนักการเมืองตอแหลที่เอางานศพพ่อมา ดราม่าหาเสียง นักข่าวที่ติดตามคณะทักษิณไปตั้งแต่ต้นจนกลับมาถึง บน.6 โทร.มาบอกเราว่าไอ้หมอนี่มันตอแหล คือมันเป็นหลานไอ้หัวขาวที่เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของนายทักษิณ และหลังจากทักษิณยึดอำนาจนักข่าวและเจ้าหน้าที่ก็ได้รับคำสั่งขึ้นไปนั่งรอบนเครื่องบินการบินไทยเตรียมออกเดินทางแต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าจากนิวยอร์กกลับกรุงเทพฯหรือไปไหน จู่ๆนักการเมืองตอแหลก็ขึ้นมานั่งบนเครื่องบินบอกกับทุกคนว่ามันเป็นนักเรียนไทยจะกลับไปงานศพพ่อแต่ไม่มีเที่ยวบินขอติดเครื่องบินกลับไปกรุงเทพฯด้วย นักข่าวรู้ว่ามันเป็นหลานไอ้หัวขาวมันจึงขึ้นเครื่องบินเช่าเหมาลำได้ เครื่องบินจากนิวยอร์กมาจอดให้ทักษิณลงที่ลอนดอนมีทูตไทยมาต้อนรับ ตอนนั้นมีแต่ช่างภาพลงไปถ่ายรูปผู้โดยสารคนอื่นๆ ไม่ได้ลงจากเครื่องบิน
เมื่อมาถึง บน.6 มีทหารขึ้นมาตรวจสอบว่ามีใครมาในเครื่องบินบ้าง ผู้โดยสารทุกคนก็แสดงตนตามสถานะส่วนนักการเมืองตอแหลแสดงตนว่าเป็นนักเรียนไทยขอติดเครื่องมางานศพพ่อ เมื่อทหารอนุญาตให้ลงจากเครื่องบินก็ผ่านการตรวจสอบธรรมดาแล้วปล่อยทุกคนกลับบ้าน “มันไม่ได้ถูกกักตัว มันตอแหล”
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้าไทย สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษา คณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ก็ยืนยันสิ่งที่น้องนักข่าวบอกแนวหน้า โดยให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า เดินทางกลับจากนิวยอร์ก หลังรัฐประหารปี 2549 ซึ่งโดยสารเครื่องบินลำเดียวกันกลับประเทศไทยกับตน นายปานปรีย์ กล่าวว่าก่อนเครื่องขึ้นจากนิวยอร์ก มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนำนายพิธามาฝากให้เดินทางกลับไทยด้วย นายปานปรีย์ กล่าวด้วยว่า ตอนนั้นทราบเพียงว่า เป็นหลานของ นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์อดีตเลขาฯ ส่วนตัวนายทักษิณ นายปานปรีย์กล่าวว่า เมื่อเครื่องบินถึงกรุงเทพฯ มีทหารเดินเข้ามาตรวจ แล้วก็ปล่อยตัวออกไป ไม่มีปัญหาหรือมีการกักตัว สามารถกลับบ้านได้เลย
หลายคนยังสงสัยว่าสิบเจ็ดปีผ่านไปทำไมนักการเมืองถึงเอาเรื่องงานศพพ่อมาสร้าง เรื่องดราม่าหาเสียงตอนนี้โดยให้สัมภาษณ์ทีวีว่าถูกทหารกักตัวมางานศพพ่อไม่ทันและถูกอายัดบัญชีจนไม่มีเงินพอทำศพพ่อ หรือนักการเมืองที่เรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่เกลียดชังทหาร เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบัน แข่งกันดราม่าว่า พรรคไหนถูกทหารกลั่นแกล้งมากกว่ากันพรรคนั้นจะได้รับความเห็นใจและได้คะแนนเสียงจากฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อทหาร ฝ่ายปฏิปักษ์สถาบันฯ ถ้าคิดได้เพียงแค่นั้นก็คงได้เป็นฝ่ายแค้นตลอดไป เพราะคนไทยจะไม่ยอมให้คนชังชาติมีอำนาจอีกต่อไป
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี