นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีโทษจำคุกคดีทุจริตประพฤติมิชอบ หลบหนีหมายจับ ทวีตข้อความว่า
“เช้าวันนี้ ผมดีใจมากที่ได้หลานคนที่ 7 เป็นชาย ชื่อ ธาษิณ จากน้องอิ๊งค์ แพทองธาร
หลานทั้ง 7 คน คลอดในขณะที่ผมต้องอยู่ต่างประเทศ
ผมคงต้องขออนุญาตกลับไปเลี้ยงหลาน
เพราะผมอายุจะ 74 ปี กรกฎานี้แล้ว
พบกันเร็วๆ นี้ ครับ
ขออนุญาตนะครับ”
ในวันเดียวกัน (1 พ.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯผู้หลบหนีโทษจำคุกคดีทุจริตประพฤติมิชอบ หลบหนีหมายจับ ก็โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“ดีใจที่สุด! ขอแสดงความยินดีกับหลานอิ๊งค์และปอนะจ๊ะที่ในที่สุดก็ได้เห็นหน้าหลาน “ธาษิณ” แล้ว หลังจากรอคอยอุ้มท้องหาเสียงด้วยความอดทนมานาน
ขอให้หลานมีสุขภาพกายที่แข็งแรงและจิตใจที่เข้มแข็งเหมือนแม่
และเชื่อว่าคุณตาคงอดใจรอจะอุ้มหลานไม่ไหว
ส่วนอาก็รอวันที่จะได้อุ้มหลานนะ”
1. การจงใจป่าวประกาศว่า “กลับไปเลี้ยงหลาน”
มิใช่ “กลับไปติดคุก” หรือ “รับโทษตามคำพิพากษา” เหมือนที่เคยกล่าวอ้างครั้งล่าสุด
นี่คือ การสะท้อนกมลสันดานส่วนลึก และความต้องการแท้จริงที่พยายามจะอำพรางเอาไว้ก่อนหน้านี้
ทำเป็นเสแสร้งว่าจะกลับมารับโทษ จะไม่อาศัยอำนาจรัฐใดๆ ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองใด
แต่แท้จริง จะ “กลับมาเลี้ยงหลาน” ได้ ก็ต้องนิรโทษกรรมคดีทุจริตประพฤติมิชอบที่ศาลฎีกาฯ เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วทั้งหมดนั่นเอง
2.น่าสมเพชเวทนากับพฤติกรรมของคนหนีคดีโกงทั้งสองราย
คนหนีคดีโกงรายอื่นๆ ไม่มีพฤติกรรมแบบนี้
ยิ่งผู้ต้องคำพิพากษาคดีโกงส่วนใหญ่ ล้วนแต่ก้มหน้ารับโทษตามคำพิพากษา แม้ตนเองจะชอบ ไม่ชอบ เห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
ปัญหาส่วนตัว คือ หนีคดีไปเอง แต่กำลังผูกปมให้เป็นเงื่อนไขของบ้านเมืองส่วนรวม
2.คนแก่วัย 73 ย่าง 74 ปี อย่างนายทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่ยังหนีคุกอยู่ในวันนี้ คือ หลบหนีไปเองทั้งสิ้น
ไม่มีใครห้ามกลับประเทศ
ไม่ใช่ลี้ภัยการเมือง
แต่ คือ หนีคุก หนีคดีทุจริตประพฤติมิชอบ
แล้วตลอดมา พยายามชักใย บงการ สร้างวาทกรรม ปลุกปั่นขบวนการชิงอำนาจรัฐกลับคืนมาในมือตนมาโดยตลอด
มีทั้งม็อบ ทั้งกองกำลัง ทั้งพรรคการเมือง
บ้านเมืองบางช่วง เกิดจลาจล เผาบ้านเผาเมือง ฆ่ากันตายกลางเมือง มีกองกำลังติดอาวุธชุดดำออกมาฆ่าทหาร ฆ่าประชาชน
ไม่มีใครห้ามทักษิณกลับบ้าน มีแต่ทักษิณเองที่อยากจะลบล้างความผิดในคดีทุจริตประพฤติมิชอบของตนเอง เพราะไม่ต้องการติดคุก
ตอนหนีออกไป ก็โกหกศาล
ตอนกลับมา ไม่ต้องมาทำเป็นขออนุญาต สามารถกลับมาได้เลย แค่เจ้าตัวขี้ขลาด ไม่กล้ากลับมารับโทษตามกฎหมายเหมือนคนอื่นๆ เท่านั้นเอง
3.แต่ละคดีที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาว่าทักษิณมีความผิด ล้วนมีพยานหลักฐานแน่นหนา จำนนด้วยหลักฐาน ไม่มีหลักฐานเท็จเลยแม้แต่คดีเดียว
คดีแปลงสัญญาสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิตเอื้อประโยชน์ธุรกิจของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น ทำให้รัฐเกิดความเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท ศาลพิพากษาความผิด ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการ หรือดูแลกิจการเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก 3 ปี รวมเป็นจำคุก 5 ปี
คดีเอ็กซิมแบงก์ จำคุก 3 ปี
คดีหวยบนดิน จำคุก 2 ปี
รวม 3 คดี นายทักษิณมีโทษจำคุก 10 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ไม่นับคดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก จำคุก 1 ปี หมดอายุความไปแล้ว
4.นางสาวยิ่งลักษณ์ หนีโทษจำคุก 5 ปี คดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ละเว้นระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว
ยังมีคดีอาญาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ย้ายเอื้อญาติ ญาตินายถวิลเปลี่ยนศรี โดยมิชอบ
และคดีอาญาฮั้วประมูลการจัดอีเว้นท์โรดโชว์โครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท
มีหมายจับติดตัว 3 หมาย
นอกจากนี้ ยังมีคดีค่าสินไหมทดแทนจากการปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการจำนำข้าว 35,000 ล้านบาท(อยู่ในชั้นศาลปกครองสูงสุด)
5.ทุกคดี ล้วนปรากฏหักฐานแน่นหนา ชัดเจน
ยังไม่นับคดีทุจริตประพฤติมิชอบอีกมากมายหลายคดี ที่ปรากฏว่า พฤติกรรมของผู้กระทำการทุจริต เป็นการกระทำเพื่อเอื้อประโยชน์ตกแก่ตระกูลชินวัตร
อาทิ การทุจริตสัญญาสัมปทานมือถือ แก้สัมปทานมือถือ ลดค่าส่วนแบ่งรายได้เอื้อประโยชน์แก่เอไอเอส การทุจริตแก้สัมปทานดาวเทียม การทุจริตธรณีสงฆ์อัลไพน์ ฯลฯ
ยกตัวอย่างชัดๆ กรณีการดำเนินคดีอาญากับอดีต ผอ.องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) เมื่อปี 2544 นายสุธรรม มลิลา ปรากฏว่าศาลปราบโกงพิพากษา คดีถึงที่สุดแล้ว ระบุว่า นายสุธรรมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ให้จำคุกทั้งสิ้น 9 ปี แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำเข้าไต่สวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุลดโทษให้1 ใน 3 คงจำคุกรวม 6 ปี และให้จำเลยชำระเงิน 46,855,463,990.92 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.2559 ให้แก่ บริษัท ทีโอทีผู้เสียหาย คดีนี้ด้วย
สืบเนื่องจากช่วงรัฐบาลทักษิณ องค์การโทรศัพท์ (ทศท.) ไปปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าในชื่อ “วันทูคอล” ให้กับเอไอเอส จากอัตราร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 20 โดยจำเลยใช้อำนาจฐาน ผอ.ทีโอทีลงนามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาอนุญาตดำเนินกิจการครั้งที่ 6 ให้กับ เอไอเอส และกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนโทรศัพท์แบบวันทูคอล โดยให้เอไอเอสแบ่งส่วนรายได้อัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าหน้าบัตร ซึ่งทำให้ทีโอที ผู้เสียหายคดีนี้ได้รับส่วนแบ่งรายได้น้อยลงจากเดิมที่ได้รับตามสัญญาหลักในอัตราร้อยละ 25-30(ปีท้ายๆ ยิ่งจะมีมูลค่ามหาศาล) โดยเมื่อเปรียบเทียบส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาหลัก กับสัญญาที่แก้ไขนั้น พบว่า ทีโอทีต้องสูญเสียรายได้ถึง 17,848,130,000 บาท และสูญเสียรายได้ในอนาคต จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทานอีกเป็นเงิน 53,490,900,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 71,339,030,000 บาท
เจ้าของบริษัทเอไอเอสตัวจริงในขณะนั้น ก็คือนายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของหุ้นตัวจริง และเป็นนายกรัฐมนตรี ถือครองอำนาจรัฐอยู่ในเวลานั้นด้วย
หลักฐานทั้งหมดในคดีดังกล่าว คือ หลักฐานจริง แก้สัญญาจริงๆ เกิดขึ้นก่อนรัฐประหาร ไม่เกี่ยวกับผลพวงรัฐประหารใดๆ ทั้งสิ้น
6.ช่างน่าเวทนา พฤติกรรมที่พยายามแอบอยู่ข้างหลังเด็ก สตรี คนชรา ของคนโกงหนีคดี หนีหมายจับ
ปี’51 หลบอยู่ข้างหลังคนแก่ (สมัยนายสมัคร)
ปี’54 หลบอยู่ข้างหลังผู้หญิง (สมัยยิ่งลักษณ์)
มา พ.ศ.นี้ ปี’66 ยังไม่ทันไร หลบอยู่ข้างหลังเด็ก (หลานชายแรกเกิด)
เคยถีบหัวเรือส่งคนเสื้อแดง เคยหักหลังแกนนำเสื้อแดงและนักการเมืองมากมาย
พฤติกรรมแบบนี้ ยังมีคนหลับหูหลับตาเชื่อถืออีกหรือ?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี