เข้าสู่ช่วงร้อยเมตรสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัย แต่ละพรรคแต่ละขั้ว ก็ต่างต้องงัดไม้เด็ดเพื่อที่จะเรียกคะแนนเสียงจากประชาชน ตลอดจนโจมตีฝ่ายตรงข้าม ในช่วงฮึดสุดท้าย ซึ่งอีกเพียงสามวัน ก็น่าจะได้ทราบอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วว่า ในท้ายที่สุดแล้วการเดินทางอันแสนยาวนานนี้ ใครจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในแต่ละเขต แต่ถ้าพูดถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว วันอาทิตย์ นี้ก็ยังอาจไม่ใช่เวลาที่จะตอบ
แน่นอนว่าประชาชนที่ผู้สิทธิเลือกตั้งเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ตัดสิน และด้วยโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งเช่นนี้ก็ไม่แปลกที่ผู้เข้าแข่งขัน ก็ต่างต้องงัดไม้เด็ดออกมาเพื่อเอาใจประชาชน และตอกย้ำถึงอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะถึงวันเปิดหีบหรือไม่?
อย่างในรายของพรรคไทยสร้างไทย ภายใต้การกุมบังเหียนของคุณหญิงสุดารัตน์ ที่ป้ายหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายนั้นดูจะมีรูปแบบที่ผิดหูผิดตาไปจากเดิมอยู่ไม่น้อย จากสโลแกนของแคมเปญใหม่ อันมีใจความว่า “ไม่เอาลุง ไม่เอาความขัดแย้ง” ซึ่งสโลแกนดังกล่าว ก็ดูจะเป็นการแสดงถึงจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคที่ชัดเจนและอีกนัยหนึ่งก็เหมือนเป็นการตอกย้ำถึงกระแสขั้วหัวก้าวหน้า แต่ก็ไม่อยากที่จะไปสุดโต่งหรือไม่?
เพราะที่ผ่านมาก็มีการทำโพลล์สำรวจอยู่ไม่น้อย และไม่ว่าจะโพลล์จากสำนักใดก็ตาม ส่วนใหญ่ก็ดูจะชี้ผลไปในทิศทางเดียวกันว่า พรรคจากขั้วหัวก้าวหน้า ดูจะมีคะแนนความนิยมที่เหนือกว่าพรรคการเมืองขั้วอนุรักษ์นิยมอยู่ไม่น้อย
แต่จะว่าไป โพลล์ก็ไม่อาจตอบโจทย์ทั้งหมดที่อยากจะรู้ แต่อาจบอกได้ถึงกระแสหรือความคิดคนส่วนใหญ่ที่เป็นปกติว่ามีแนวโน้ม
ที่จะคิดคล้ายๆ กันว่าต้องการหรือคิดอะไรอยู่ ณ เวลานั้นๆ สาเหตุที่แท้จริงของการที่คะแนนนิยมของพรรคขั้วหัวก้าวหน้านั้นนำขั้วพรรคอนุรักษ์นิยมในตอนนี้ ก็น่าคิดว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดกันแน่ จะเป็นเพราะการสุ่มกลุ่มตัวอย่างที่บังเอิญมีชุดความคิดแบบเช่นนั้น? หรือจะเป็นเพราะกระแสความนิยมของพรรครัฐบาลในยามนี้ดิ่งลงตามวัฏจักรของการเมืองแบบทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้นกับทุกรัฐบาลก่อนการเลือกตั้ง? แต่นั่นก็ดูจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้วหรือไม่?
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะไม่อาจทราบได้ว่าที่มาของผลโพลล์นั้น จะมีที่มาอย่างไร แต่ก็ดูจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองบางพรรคอยู่ไม่น้อย ทั้งในแง่ของการเรียกคะแนนความนิยมก่อนการเลือกตั้ง ในลักษณะกึ่งชี้นำ รวมถึงอาจใช้เป็นช่องโหว่ในการโจมตีพรรคการเมืองต่างๆ หรือเพื่ออะไรหรือไม่?
อย่างไรก็ตามจากกระแสที่ถูกทำให้เห็นขณะนี้ ทำให้อาจมีการมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในโอกาสที่สำคัญสำหรับขั้วหัวก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นพรรคก้าวไกล รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย เพราะหากทั้งสองพรรคการเมืองมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล ก็คงไม่มีการเดิมพันครั้งใดที่จะน่าวางเดิมพันหมดหน้าตักเท่าครั้งนี้อีกแล้วหรือไม่?
แต่ผลโพลล์หรือกระแสไม่ได้มีผลต่อขั้วตรงข้ามอย่างเดียว แต่ส่งผลต่อผู้นำในกลุ่มที่ถูกมองว่าขั้วเดียวกันด้วย โดยเฉพาะเมื่อของแบบสำรวจที่เพิ่งออกมาไม่นานมานี้ คะแนนความนิยมส่วนตัวของนายพิธา ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลนั้นพุ่งแรงแซงแพทองธาร ลูกสาวนายใหญ่ค่ายสีแดง ขึ้นมาเป็นที่หนึ่งแทน สอดรับกับกระแสก้าวไกลฟีเวอร์ในโซเชียลที่มาแรงในช่วงระยะหลัง ซึ่งก็มีคนตั้งคำถามว่า ความนิยมของพรรคก้าวไกลนั้นสามารถแซงพรรคเพื่อไทยมาได้จริงหรือ?
เพราะแม้กระแสในช่วงระยะหลังมานี้ พรรคก้าวไกลจะสามารถสร้างปรากฏการณ์ได้มากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพรรคก้าวไกลก็ยังดูจะเป็นรองพรรคเพื่อไทยอยู่ไม่น้อย ทั้งในเรื่องของชั้นเชิง ความแข็งแกร่ง รวมถึงชื่อเสียงของพรรค ที่ส่งผลอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อใช้กติกาบัตรเลือกตั้งสองใบ ที่สุดท้ายก็ต้องวัดกันที่สส.ระบบเขตที่มีจำนวนมากกว่ามาก
แต่หนึ่งในสิ่งที่พรรคก้าวไกลนั้นดูจะสร้างความโดดเด่นให้กับตนเองมากกว่า อาจเป็นการที่พรรคก้าวไกลนั้นกล้าประกาศจุดยืน ด้วยสโลแกนที่ว่า “มีลุงไม่มีเรา” ตั้งแต่เนิ่นๆ ประกอบกับนายพิธาไปออกรายการดีเบตด้วยตนเองทุกครั้ง จึงทำให้ภาพของทั้งนายพิธาและพรรคก้าวไกล มีความชัดเจนในสายตาประชาชนว่ามีคาแร็กเตอร์อย่างไร มีจุดยืนอย่างไร ยิ่งเมื่อพรรคเพื่อไทยนั้นเพลี่ยงพล้ำจากกรณีที่มีข่าวการจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ ที่ก็ไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่ากระแสนั้นเริ่มต้นมาจากแห่งหนตำบลใดแน่?แต่ก็ต้องยอมรับว่าการที่พรรคเพื่อไทยแสดงจุดยืนช้า อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เกิดกระแสแบบที่เป็นอยู่หรือไม่?
อย่างไรก็ตามแม้การประกาศกร้าวไม่จับมือกับ 2 ลุงของพรรคก้าวไกล จะดูเป็นการเรียกคะแนนความนิยมชั้นดี และดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่ได้ผลไม่ใช่น้อย แต่เมื่อพรรคก้าวไกลนั้นได้ลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ ทางเลือกของพรรคก้าวไกลในการจับมือตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลจึงอาจมีไม่มากนัก ดังนั้นแม้การประกาศกร้าวดังกล่าวจะเป็นผลดีต่อคะแนนเสียง แต่ก็ดูจะไม่ได้ส่งผลบวกในระยะยาวหรือไม่? แต่ก็อาจเป็นเส้นทางที่เลือกว่าพรรคจะเดินยาวๆ อย่างไร
นอกจากนี้สิ่งที่น่ากังวลไม่น้อยนั่นคือ การที่มีผู้ตรวจสอบและพบข้อมูลที่อ้างว่าน่าเชื่อถือ และพบข้อมูลว่านายพิธาในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลนั้น ถือหุ้นบริษัท ITV จำกัด มหาชนอยู่ถึง 42,000 หุ้น ซึ่งหากนายพิธาถือครองหุ้นจริงตามคำกล่าวอ้างแต่ก็ไม่รู้ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ประการใด จะเป็นการสังเวยด้วยปมการถือหุ้นดังเช่นที่เคยมีในอดีตหรือไม่?
และอีกหนึ่งสิ่งที่สาวกแห่งค่ายสีส้มก็ต้องมาลุ้นอีกระลอกหนึ่งก็เพราะ โดยปกติแล้วพรรคการเมืองต่างๆ ก็ล้วนแล้วที่จะเก็บไม้เด็ดเพื่อมามัดใจประชาชน ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งแต่สำหรับพรรคก้าวไกลนั้น ดูเหมือนจะทิ้งไพ่ที่ใหญ่ที่สุดมาตั้งแต่เนิ่นๆ ในขณะที่พรรคอื่นๆ รวมถึงเพื่อไทย ดูจะยังมีไม้เด็ดที่ยังปล่อยไม่หมดตามสไตล์พรรคใหญ่ที่สะสมความเก๋ามานาน?
แม้จะเซไปบ้างแต่ตัวเต็งในสมรภูมิใหญ่นี้อาจยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะอย่างที่บอก ด้วยกติกาเลือกตั้งปัจจุบันระบบเขตเลือกตั้งมีความสำคัญมากกว่าระบบบัญชีรายชื่อ ทั้งด้วยจำนวนและแนวโน้มการเลือกตั้งของประชาชนตั้งแต่อดีตต่อระบบเขต แต่เหนือกว่าผู้สมัครเขตของพรรคเพื่อไทยก็คือความเชื่อมั่นและความผูกพันของประชาชนในภูมิภาคต่ออดีตนายกทักษิณ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสานที่ยังไม่มีพรรคใดเจาะได้จริงๆ จังๆ เสียทีมานานแล้ว ซึ่งก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าที่กระแสคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยยังคงสูงติดลมบน ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นการที่พรรคเพื่อไทยที่ชูโรงด้วยหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย อย่างแพทองธาร ลูกสาวพ่อใหญ่ ที่เข้ามาปลุกกระแสสีแดงฟีเวอร์ให้ตื่นขึ้นมา อีกทั้งด้วยการที่ทางพรรคเพื่อไทยได้ส่งแพทองธารเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค และทุกอย่างก็เริ่มชี้ชัดว่าแพทองธารคือแคนดิเดตตัวจริง เพื่อเข้าสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ให้ได้?
อย่างไรก็ตามก็เป็นที่ทราบกันดีมาตลอดว่าการเดิมพันครั้งนี้มีราคาที่ต้องจ่าย เพราะหากแม้คะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทยจะสูง แต่หากสุดท้ายปลายทางแล้ว พรรคเพื่อไทยไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์หรือหาพันธมิตรจับมือกัน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลในอุดมคติของตนเองได้ การเดินทางและการวางเดิมพันที่ทุ่มหมดหน้าตักในครั้งนี้ก็อาจได้ไม่คุ้มเสีย เพราะหากทิ้งไพ่ที่แต้มต่อเยอะที่สุดลงมาแล้วยังไม่อาจคว้าชัยได้ก็คงเป็นการยากที่จะหาไพ่ที่อันตรายและหวังผลได้มากกว่านี้หรือไม่?
ดูแล้วพรรคเพื่อไทยน่าจะเอาจริงกับการเลือกตั้งสมรภูมิใหญ่ครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะนอกจากที่จะส่งลูกสาวนายใหญ่เข้ามาเรียกเสียงฮือฮาแล้วนั้น ทางนายใหญ่เองก็มีความเคลื่อนไหวที่สำคัญ ผ่านช่องทางการสื่อสารส่วนตัวก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเช่นกัน โดยได้มีการกล่าวว่า ขอกลับบ้านเลี้ยงหลาน ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ พร้อมกับคำตัดพ้อว่า 17 ปีแล้ว ที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัว ก็ไม่รู้จะส่งผลดีต่อการเลือกตั้งมากน้อยเพียงใด แต่สำหรับคนที่มีหัวใจสีแดงแล้วไพ่ที่ชื่อว่าทักษิณ ก็มักจะเป็นหนึ่งในไพ่ไม้ตายหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อใบเด็ดถูกทิ้งในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นไม่นาน
ที่น่าสนใจคือ หากเป็นเช่นนั้นจริง ช่วงกรกฎาคม ยังน่าจะเป็นช่วงรักษาการนายกฯของพลเอกประยุทธ์ 2 อยู่ใช่หรือไม่? การที่ประกาศเช่นนี้ทั้งที่ยังไม่รู้ผล หากไม่มั่นใจมากว่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์จัดตั้งรัฐบาลได้ ก็ต้องมั่นใจว่าเจรจาได้ หรือไม่?
ซึ่งก็เป็นที่น่าสังเกตว่าก่อนการเลือกตั้งในครั้งนี้จะเกิดขึ้น ในช่วงโค้งสุดท้ายก็เริ่มมีการพูดถึงกันแล้วว่าหากเลือกพรรคใด แล้วจะได้อะไร? อย่างเช่นนายจุรินทร์ จากค่ายพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ออกมายืนยันว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็ขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะพาประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่
ขณะที่แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย อย่างนายเศรษฐา ทวีสิน ได้ออกโรงตั้งป้อมโจมตีถึงนายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทยว่า หากเลือกพรรคภูมิใจไทย จะได้พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ระดับเสี่ยหนูก็ไม่ปล่อยไว้ ได้สวนกลับแคนดิเดตพรรคเพื่อไทยไปว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วพรรคเพื่อไทยก็ได้คะแนนรวมมากที่สุด แต่กลับโหวตให้นายธนาธร จากสังกัดพรรคอนาคตใหม่ในยามนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งได้ประกาศว่า หากเลือกพรรคภูมิใจไทยมากพอ นายอนุทินก็พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หากได้รับคะแนนเสียงเยอะ ไม่มีทางที่จะเอาสิ่งที่พึงจะได้ไปประเคนให้ผู้อื่นอย่างแน่นอน ซึ่งก็นับเป็นหนึ่งในสีสันทางการเมืองก่อนช่วงเลือกตั้ง และยิ่งตอกย้ำถึงการแข่งขันที่หนักหน่วงของทั้งสองพรรคการเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน
ก็ไม่แปลกใจที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคจะมีความพยายามในการตั้งประเด็น โยนใส่พรรคการเมืองสังกัดอื่นๆ เพราะนี่คือโค้งสุดท้าย แต่ละพรรคต้องเทหมดหน้าตักในการหาเสียง
อย่างไรก็ตามก็เป็นที่ทราบกันดีว่า ในทุกรอบ ทุกครั้ง และทุกสมัยที่มีการเลือกตั้งใหม่ แผลจะไปตกอยู่กับรัฐบาลเดิมอยู่เป็นปกติ โดยเฉพาะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์แม้จะสามารถรักษาเสถียรภาพของตนเองให้สามารถอยู่จนครบวาระได้ แต่ก็มีแผลเป็นติดตัวอยู่ไม่น้อย ทั้งจากการที่ผ่านกับระเบิดแห่งเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤตโควิด รวมถึงผลพวงจากทั้งสองเหตุการณ์นั่นคือสงครามเศรษฐกิจ อันนำมาซึ่งข้าวของ เครื่องใช้ สินค้าอุปโภค-บริโภค ที่ปรับราคาขึ้นสูง ก็เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่พรรคการเมืองต่างขั้วใช้โจมตีขั้วรัฐบาล ซึ่งผู้ที่รับบาดเจ็บมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นพลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีสองสมัยหรือไม่?
อย่างไรก็ตามก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้จับตากระแสต่างส่งท้ายให้ดีว่า จะมีเปลี่ยนแปลงอะไรก่อนเลือกตั้งหรือไม่?
สุดท้ายเมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้น แน่นอนว่าประชาชนเองก็น่าจะต้องการที่จะทราบผลให้อย่างเร็วที่สุด ซึ่งคะแนนดิบผลอย่างไม่เป็นทางการ ก็น่าจะพอได้รับทราบกันหลังจากที่การเลือกตั้งเสร็จสิ้นได้ไม่นาน ดังเช่นที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ว่าเวลาราวๆ ประมาณ 22 นาฬิกา ก็น่าจะพอทราบคะแนนกันแล้วบ้าง
แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ตรวจสอบ การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นว่าสุจริต โปร่งใส และชอบธรรมหรือไม่? ซึ่งก็อาจตามมาด้วยการให้ใบเหลือง แจกใบแดง ที่ไม่รู้ว่าจะมีจำนวนเท่าไหร่ก็หรือไม่? ส่วนในเรื่องของผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการนั้น จะต้องประกาศผลซึ่งไม่เกิน 60 วันนับตั้งแต่วันเข้าคูหา หลังจากนั้นจึงจะมีการเรียกประชุมสภาฯครั้งแรก ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้มีการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
ซึ่งจะประชุมสภาฯ นัดแรกจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้น ยังไม่อาจทราบได้ เช่นเดียวกับการคัดสรรประธานสภาฯ และโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าแม้การคัดเลือกประธานสภาฯ และการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นจะเกิดขึ้นผ่านกลไกของสภาฯ เช่นเดียวกัน
แต่ก็เกิดขึ้นผ่านกระบวนการที่มีเงื่อนไขแตกต่างกัน เพราะแม้ว่าเสียงข้างมากในสภาฯ นั้นจะสามารถเลือกประธานสภาฯได้ แต่สำหรับการโหวตนายกรัฐมนตรี อาจไม่เป็นเช่นนั้น
สัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้งเป็นสัปดาห์แห่งการทิ้งทวนที่สำคัญอย่างมากต่อยุทธศาสตร์ทางการเมือง เพราะหากการวางแผนทางยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาด ก็อาจนำพาไปสู่ความปราชัยได้
ใครจะเข้าวิน ใครจะบอบช้ำ ไม่นานรู้กัน
“เมื่อเสพรับความสุขของการอยู่ร่วมแล้ว ไฉนไม่อาจกล้ำกลืนรับความปวดร้าวของการจำพราก?
หากไม่เคยเผชิญความปวดร้าวของการจำพราก?ไหนเลยจะล่วงรู้ความสุขของการอยู่ร่วม?”
โกวเล้ง จาก ตะขอจำพราก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี