การสัมมนา EARTH JUMP 2023 : New Frontier of Growth โดยธนาคารกสิกรไทยที่ผ่านมา มีการนำเสนอแผนการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนจากหลายภาคส่วน คุณวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำเสนอกลยุทธ์ของประเทศไทยในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net Zero หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2608 ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารกสิกรไทยต่างส่งเสริม ESG และคาร์บอนเครดิตซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนสู่การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน
การประชุมดังกล่าวได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผม อยากแชร์ความคิดเห็นในเรื่องของโอกาสและการก้าวต่อไปของประเทศไทย 1.เป็นที่แน่ชัดว่า “ภาคการเงินต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย”ไทยถือเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลก ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานด้าน supply chain
ส่งผลไปจนถึงความล้มเหลวของบริษัทต่างๆ ในการทำตามข้อกำหนดที่เกี่ยวกับพรมแดนคาร์บอน หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanisms) ของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่ง Swiss Re ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกทำนายว่า ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจลด GDP ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลงได้ถึง 29% ภายในปี 2593ความเสี่ยงด้านความยั่งยืน เช่น ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการขาดแคลนทรัพยากรจำเป็นต้องได้รับการจัดการและบรรเทา
และจำเป็นต้องมีการระดมทุนเพื่อช่วยให้ทั้งบริษัทและครัวเรือนสามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้ การเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนมากขึ้นนั้นไม่ควรถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม แต่เป็นการมอบโอกาสทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในยุคนี้ให้กับบริษัทที่ริเริ่มพัฒนาหาทางออกไปสู่ความยั่งยืนให้กับตัวเอง และที่สำคัญกว่านั้นเพื่อรับมือกับความต้องการด้านความยั่งยืนของลูกค้า
2.ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า “การวางแผนการใหญ่หรือความตั้งใจอันยิ่งใหญ่นั้นอาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจไว้” แม้รัฐบาลและภาคธุรกิจจะกำหนดพันธกิจด้านความยั่งยืนไว้อย่างยิ่งใหญ่ แต่โลกก็กำลังวิ่งตามเป้าหมายนั้นไม่ทันขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการดำเนินการจริงมักมีอุปสรรค เช่น ความขัดแย้งด้านการเมือง ผลประโยชน์ทางอุตสาหกรรม และขาดการสนับสนุนทางสังคม
ตัวอย่างที่ชัดเจนและน่าเศร้าใจคือ พันธสัญญา Net Zero ที่เกิดขึ้นเพื่อจำกัดความร้อนของโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5องศาเซลเซียส และเพื่อทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 45% จากระดับปี 2553 ภายในปี 2573 แต่จากข้อมูลระดับชาติที่มีอยู่ในขณะนี้ คาดว่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์กลับจะเพิ่มขึ้นอีก 10% ภายในปี 2573 (UN 2565) นอกจากนี้ การทำตามพันธสัญญาเหล่านี้ยังดำเนินไปอย่างล่าช้ากว่าแผนอย่างมาก (IPCC, 2566) สำหรับประเทศไทยนั้น Net Zero ที่วางแผนไว้ในปี 2608เป็นหนึ่งใน Net Zero ที่จะบรรลุเป้าหมายช้าที่สุด
“การซื้อเวลา” อาจเป็นประโยชน์เนื่องจากเทคโนโลยีสะอาดจะเติบโตต่อไป และราคาจะถูกลงในอนาคต อย่างไรก็ตามปัญหาที่ทับถมรอมานานก็จะใหญ่ขึ้นตามมาเช่นกัน ที่สำคัญกว่านั้นการตั้งเป้าหมายที่ไกลเกินไปนั้นไม่สามารถจะสื่อสารถึงความเร่งด่วน รวมถึงเสียโอกาสต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมไทยอาจขาดโอกาสในการกลายเป็น Green Champions นอกจากนี้ Net Zero ของประเทศไทยยังดูเหมือนว่า
จะพึ่งพาการใช้ CCUS (Carbon Capture, Usage and Storage) เป็นหลัก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลให้การสนับสนุน
แต่เป็นวิธีที่คุ้มค่าน้อยกว่าทางเลือกอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้เศรษฐกิจหมุนเวียนก็มีบทบาทสำคัญในแผนของประเทศไทย ซึ่งแม้ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” จะได้รับความสนใจจากทั่วโลก แต่ก็ยังไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ โลกได้ดูดใช้ทรัพยากรในช่วง 6 ปีที่ผ่านมามากกว่าในศตวรรษที่ 20 ทั้งหมดรวมกัน ระดับการรีไซเคิลได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 9.1 ใน 2561 เหลือเพียงร้อยละ 7.2 ในปี 2566 (CGRI)
3.การวัดปัจจัย ESG เพื่อการจัดการที่ดีขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่การจัดการ ESG ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก : การได้มาซึ่งข้อมูล ESG นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงและมีปัญหาด้านคุณภาพข้อมูล ในขณะที่การตีความข้อมูลก็มีความคลุมเครือเกินไป (rating ที่แตกต่างกันโดยหน่วยงานที่แตกต่างกัน) และซับซ้อนเกินไปสำหรับนักลงทุน ทำให้เกิดการฟอกเขียวได้ง่าย ESG taxonomy ซึ่งนำโดยสหภาพยุโรปและกำลังพัฒนาในเอเชียจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้บางส่วน ความสำเร็จในการนำระบบ ESG ไปใช้อย่างแพร่หลายนั้น ต้องทำให้ง่ายขึ้นและต้องช่วย SMEs ในการนำไปใช้ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามทำอยู่ผ่าน ESG Academy
4.ที่สำคัญที่สุด ESG rating system ให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงของธุรกิจรูปแบบเดิมมากกว่าโอกาสในการสร้างผลกระทบและการเติบโตด้วยนวัตกรรมใหม่ : การเน้นไปที่การนำ ESG ไปใช้อย่างเดียวจะทำให้เสี่ยงต่อ “การที่บริษัทจะบรรลุเป้าหมายแต่พลาดประเด็น” การคว้าโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืนนั้น บริษัทจะต้องสร้างวัฒนธรรมและปรับกรอบความคิดด้านความยั่งยืนให้ทั่วทั้งองค์กร เนื่องจากความยั่งยืนจะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของการเติบโต
สิ่งนี้จะต้องใช้พนักงานที่ใส่ใจและมีทักษะด้านการสร้างความยั่งยืนจำนวนมาก (green employees) ไม่ใช่เฉพาะระดับบนสุดขององค์กร เพื่อรวบรวมความคิดริเริ่มทั่วทั้งองค์กรให้เป็นกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกัน ตามตัวเลขของ LinkedIn การเติบโตของตำแหน่งงานด้านความยั่งยืน (+30% ในเอเชีย-แปซิฟิก ระหว่างปี 2559 ถึง 2564 เทียบกับร้อยละ 70ในยุโรป และร้อยละ 40 ในสหรัฐอเมริกา) กำลังแซงหน้าอุปทาน และคาดการณ์ว่าโลกจะขาดแคลน greentalents ภายในปี 2569
ดังนั้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนไปสู่ความยั่งยืนที่ตั้งเป้าหมายไว้ ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านความยั่งยืนโดยเร็วที่สุด..เมื่อวางแผนแล้ว เราต้องหาทางทำให้สำเร็จให้ได้!!!
Geert-Jan (GJ) van der Zanden
สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี