การหลอกใช้เด็กให้ไปตายแทนตัวเองบนเวทีแห่งความขัดแย้งทางการเมือง คือความเลวทรามต่ำช้าอย่างที่สุด ซึ่งไม่สมควรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้
การหลอกใช้เด็กเป็นเหยื่อการเมือง เพื่อให้ตนเองได้อำนาจการเมือง แล้วเหยียบศพเด็กขึ้นไปมีอำนาจ นับเป็นความสามานย์อย่างสุดๆ ของผู้กระหายอำนาจรัฐ
ในประเทศที่ผู้คนเต็มไปด้วยความสามานย์เลวทราม มักจะเกิดปรากฏการณ์หลอกให้เด็กไปตายแทนตนเองบนเวทีความขัดแย้งทางการเมือง
ถามว่าประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีคนสามานย์หลอกให้เด็กไปตายแทนตนเองบนเวทีความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ คำตอบเรื่องนี้เป็นที่กระจ่างชัดเป็นอย่างดีในสังคมไทย เพราะวิญญูชนต่างรับรู้ดีว่ามีการหลอกใช้เด็ก โดยให้เด็กกลายเป็นเหยื่อทางการเมืองอยู่เป็นประจำ
ธรรมดาของความเป็นเด็กคือ ชอบแสดงออก อยากเด่น อยากดัง อยากเป็นที่ยอมรับของสังคม อยากมีตัวมีตน อยากให้คนอื่นยอมรับว่าตนเองโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้น การหลอกใช้เด็กให้ไปตายแทนตัวเองจึงเกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีความชั่วช้าสามานย์ในจิตใจ
ในประเทศไทยนั้นมีคนชั่วที่ชอบหลอกเด็กไปตายแทนตัวเอง แล้วก็มีเด็กจำนวนหนึ่งที่ชอบเป็นเหยื่อ เพราะคิดว่าตนเองได้แสดงออกถึงความโก้เก๋เท่กว่าใครๆ เด็กที่ตกเป็นเหยื่อของคนที่หลอกให้เด็กไปตายมักจะมีลักษณะด้อยประการหนึ่งคืออยากดังอยากเป็นดาวเด่น อยากให้แสงไฟ spot light จับตัวเองในทุกย่างก้าว ทั้งๆ ที่ยังไร้ประสบการณ์ และไม่มีวุฒิภาวะ
เราจึงเห็นเด็กบางจำพวกแสดงอาการก้าวร้าวทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ เด็กที่ขาดความยั้งคิด ขาดความยับยั้งชั่งใจจึงสามารถแสดงพฤติกรรมอุบาทว์สารพัดชนิดออกมาเป็นประจำ โดยหารู้ไม่ว่ามันคือเครื่องผูกมัดแล้วลากให้ตนเองลงไปสู่อเวจี แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องน่าสมเพชเด็กจำพวกที่ชอบแสดงพฤติกรรมอุบาทว์เป็นที่สุด พวกเขามักจะอ้างว่าเขายังเป็นเด็ก เขาจึงทำอะไรที่อุบาทว์และเลวร้ายได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องโทษ ไม่ถูกขังคุก
เด็กที่ยังอ่อนโลก เพราะไร้ประสบการณ์ และไร้ความคิด จึงถูกหลอกให้ทำผิดกฎหมาย แล้วพวกเขาก็จงใจทำผิด เพราะคิดเอาเองว่าเด็กทำผิดแล้วไม่ติดคุก เด็กทำผิดแล้วไม่ถูกกฎหมายลงโทษ
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าสมเพชที่เราได้พบเห็นภาพเด็กอายุ 15 ปีบางรายตะโกนด่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วแสดงพฤติกรรมต่ำทรามสารพัด ทำลายทรัพย์สินข้าวของของราชการ และแสดงความหยาบช้าต่างๆ นานา ให้ปรากฏต่อสาธารณะ
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าเด็กและเยาวชนคืออนาคตของชาติ ดังนั้นเขาจึงต้องเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง และส่วนร่วมทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมประชาธิปไตย ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อเป็นการค่อยๆ สร้างประสบการณ์ตรงด้านการเมืองให้กับพวกเขาที่ละน้อยและเป็นขั้นเป็นตอน
ขอย้ำว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองของเยาวชนมีความสำคัญต่อการพัฒนาความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด เพราะเมื่อเด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับที่เหมาะสมแล้ว เด็กและเยาวชนจะได้สั่งสมความรู้ด้านการเมืองอย่างเป็นระบบ และช่วยให้พวกเขามีความเชี่ยวชาญด้านการเมืองมากขึ้นเป็นลำดับ และเพิ่มความเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพของพลเมืองได้อย่างเป็นรูปธรรม
ประเด็นสำคัญที่ต้องมาหารือร่วมกันเพื่อให้ได้คำตอบว่าแล้วเด็กและเยาวชนควรจะมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับใด แค่ไหน ทำอะไรบ้าง เพื่อให้เด็กและเยาวชนไม่ตกเป็นเหยื่อการเมืองของคนบางกลุ่มที่ต้องการใช้เด็กเป็นเครื่องมือทางการเมือง ที่มากกว่านั้นคือ เราจะทำให้อย่างให้เด็กและเยาวชนมีความตระหนักรู้ตลอดเวลาว่า พวกเขาคือกลุ่มเป้าหมายที่ถูกผู้กระหายอำนาจการเมืองจงใจใช้พวกเขาเป็นเหยื่อ และหลอกให้ไปตายแทนบนเวทีแห่งความขัดแย้งของอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง
ก่อนอื่น เราทุกคนต้องเข้าใจว่าเด็กและเยาวชนต้องได้รับการคุ้มครองโดยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยสหประชาชาติให้การรับรองสิทธิเด็กไว้ โดยระบุว่า เด็กมีสิทธิในการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องและมีอิทธิพลต่อชีวิตของตนเอง และสามารถสร้างอิทธิพลต่อการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวทำได้ โดยเฉพาะในโรงเรียนหรือชุมชน
พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เด็กมีสิทธิแสดงความคิดเห็นในประเด็นใดๆ ก็ตามที่มีผลกระทบต่อเขา และความเห็นของเด็กก็ต้องได้รับการรับฟังอย่างเหมาะสม เพราะเด็กมีสถานะเป็นพลเมืองคนหนึ่งของประเทศหรือรัฐใดๆ เด็กต้องสามารถมีส่วนร่วมตัดสินใจบนฐานของการมีข้อมูลที่เพียงพอและเป็นอิสระ ซึ่งจะช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาทักษะ และเสริมสร้างความมั่นใจ และเพิ่มพูนความมีวุฒิภาวะได้มากขึ้นเป็นลำดับ
ขณะเดียวกัน เด็กมีสิทธิจัดตั้งและเข้าร่วมสมาคม รวมถึงยังสามารถรวมกลุ่มใดๆ ได้ด้วยความสันติ ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นชัดว่า เด็กสามารถแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้และสามารถเข้าร่วมในกระบวนการทางการเมือง และเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองได้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้มีส่วนสำคัญมากต่อการพัฒนาให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในอนาคต
ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ล้วนเป็นเรื่องดีงามและสร้างสรรค์ทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องช่วยกันผลักดันและเสริมสร้างให้เด็กและเยาวชนเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับที่เหมาะสมตามช่วงของแต่ละวัยของเด็กแต่ละกลุ่ม โดยเด็กต้องร่วมกันทำงานไปพร้อมๆ กับผู้ใหญ่โดยเป็นเครือข่ายภาคีสนับสนุนกันและกัน โดยเด็กต้องมีบทบาทในการร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายภาคีอย่างมีคุณภาพและวุฒิภาวะ ความคิดเห็นของเด็กที่แสดงออกต้องถูกนำไปประกอบการตัดสินใจในการสร้างนโยบายสาธารณะต่างๆ ด้วย
สังคมใดที่มองความต้องการของเด็ก ก็จะเป็นสังคมที่ละเลยและเพิกเฉยความต้องการของเด็ก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หมายความว่าเด็กต้องมีวุฒิภาวะที่เหมาะสมกับวัยของตน และมีพัฒนาการด้านความรู้ความเข้าใจการเมืองที่เหมาะสมและถูกต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์ด้วย ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดการมีส่วนร่วมที่เหมาะสมของเด็กในการร่วมกำหนดนโยบายสาธารณะ
การเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของเด็กอยู่บนฐานคิดที่ว่า เด็กและเยาวชนเป็นพลเมืองที่มีความสามารถ เป็นผู้ร่วมกำหนดอนาคตของประเทศ ต้องไม่มองว่าเด็กอยู่ในฐานะผู้ด้อยกว่า ต้องมองว่าเด็กและเยาวชนคือทรัพยากรที่มีค่าและมีความสำคัญของประเทศ ต้องไม่มองว่าเด็กเป็นผู้สร้่างปัญหาและเป็นตัวปัญหา ซึ่งก็หมายความว่าเด็กและเยาวชนก็ต้องไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาและเป็นผู้สร้างปัญหาด้วย
คราวนี้หันกลับมาดูพฤติกรรมการเมืองของเด็กและเยาวชนไทยในยุคนี้บ้าง ต้องยอมรับว่ามีเด็กและเยาวชนไทยจำนวนไม่น้อยมีพฤติกรรมการเมืองที่น่าศรัทธา และน่านับถือ เพราะมุ่งรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ต้องการเห็นบ้านเมืองเจริญ และต้องการเห็นการเมืองไทยขาวสะอาด ปราศจากสิ่งสกปรกโสโครก ปราศจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับด้วยว่า ยังมีเด็กและเยาวชนไทยจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ปราศจากวุฒิภาวะทางการเมือง มีพฤติกรรมการเมืองที่เข้าข่ายสามานย์ ยอมตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองและกลุ่มการเมือง แล้วยอมให้กลุ่มการเมืองที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติใช้เด็กและเยาวชนเป็นเครื่องมือ และยอมเป็นเหยื่อการเมืองให้กับกลุ่มที่จงใจสร้างความวิบัติให้ประเทศ
พฤติกรรมสามานย์ของเด็กและเยาวชนที่แสดงออกว่าไร้วุฒิภาวะทำให้ความน่าเชื่อถือและความน่าศรัทธาของเด็กและเยาวชนลดน้อยลงไป และยังทำให้บทบาทของเด็กและเยาวชนที่มีส่วนสนับสนุนประชาธิปไตยถูกลดลงตามไปด้วย ดังนั้น จึงทำให้สังคมมองว่าแทนที่เด็กและเยาวชนจะกลายเป็นพลังของประเทศ แต่กลับกลายเป็นตัวปัญหาของสังคม กลายเป็นจุดอ่อนมากกว่าตัวเสริมศักยภาพของสังคม ทำให้ความคิดที่ว่าเด็กและเยาวชนคือทรัพยากรที่มีค่าของประเทศ ถูกมองในเชิงลบว่าเป็น
ตัวป่วนสังคม เป็นตัวการทำให้สังคมเกิดความระส่ำระสาย
ยิ่งเด็กและเยาวชนแสดงความไร้วุฒิภาวะออกมาให้ปรากฏชัดมากเท่าไร ก็หมายความว่าพวกเขามีความเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดีทางการเมือง และกลุ่มผู้แสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองโดยมิชอบ จะหลอกใช้ให้เด็กและเยาวชนกลายเป็นเหยื่อทางการเมือง แต่ที่หนักกว่านั้นคือ เด็กและเยาวชนที่ด้อยประสบการณ์การเมือง แต่มีความเขลาในด้านการเมืองมากๆ จะกลายเป็นศพให้นักการเมืองที่ตั้งใจใช้เด็กและเยาวชนเป็นเหยื่ออันโอชา เพื่อให้นักการเมืองจำพวกผลาญชาติเหยียบศพของเด็กและเยาวชนเพื่อก้าวขึ้นไปสู่บังลังก์แห่งอำนาจรัฐ และผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างมหาศาล
มีคำกล่าวว่า หลอกให้เด็กไปตายแทน มันเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับคนสามานย์ที่ต้องการอำนาจการเมืองโดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี แล้วก็มีคำกล่าวด้วยว่า สำหรับเด็กที่อวดดี และอยากแสดงความโง่เขลาออกมาให้สังคมได้รับรู้ คนพวกนี้ก็คือซากศพที่เหมาะสมแล้วที่จะถูกนักการเมืองสามานย์เหยียบขึ้นไปสู่บังลังก์แห่งอำนาจรัฐ
ถามทิ้งท้ายว่า เด็กและเยาวชนไทยประเมินตัวเองอย่างไร คิดบ้างไหมว่าตนเองคือเหยื่อการเมืองอันแสนโอชะของนักการเมืองสามานย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี