ประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เดินหน้าคบค้า สานสัมพันธ์ ดึงดูดการลงทุนการค้ากับมหาอำนาจขั้วที่อยู่ตรงข้ามกับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกับซาอุฯ-จีน และอื่นๆ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของคนไทยเอง
โดยไม่ได้ละทิ้งความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐอเมริกาฯ เพียงแต่ไม่ยอมตามความต้องการสหรัฐเสียทุกเรื่อง
ดังจะเห็นได้จากความร่วมมือไทย-สหรัฐหลายๆเรื่องยังคงมีอยู่ เช่น การฝึกคอบร้าโกลด์
สหรัฐเองก็ส่งเอกอัครราชทูตมาประจำประเทศไทยมุ่งเพิ่มบทบาทในไทยตามแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ รวมถึงลงทุนสร้างสถานกงสุลสหรัฐขนาดใหญ่โตมโหฬารที่เชียงใหม่ มูลค่ากว่า 9 พันล้านบาท
นับเป็นสถานกงสุลที่ใหญ่โตกว่าสถานทูตของนานาชาติส่วนใหญ่ในไทย
1.ล่าสุด ทางการสหรัฐได้ชี้แจงข้อครหานานาประการ ผ่านหน้าแฟนเพจสถานทูตสหรัฐฯ
ยืนยันว่า สหรัฐฯ ไม่ได้มีฐานทัพใดๆ อยู่ในประเทศไทย
ปัดอยู่เบื้องหลังการเลือกตั้งของไทยและทำให้พรรคก้าวไกลคว้าชัยชนะ
ยืนยัน ไม่เคยแสวงหาความขัดแย้งกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และเข้าใจถึงความเป็นที่เคารพยกย่องอย่างสูงที่ปวงชนชาวไทยมีต่อราชวงศ์
2.ในความเป็นจริง สหรัฐปฏิเสธได้ว่า ปัจจุบันไม่ได้มีฐานทัพในประเทศไทย
แต่สหรัฐไม่อาจปฏิเสฐได้เลยว่า ตนเองต้องการเพิ่มบทบาทในไทยมากขึ้น (จะขอตั้งฐานทัพหรือไม่ในอนาคต สหรัฐไม่ได้ปฏิเสธ) เพราะนั่นเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐกำหนดไว้อย่างชัดเจน
ในแผนดังกล่าว ระบุชัดเจนถึง “พฤติกรรมอันเป็นภัยของจีน” ต่อผลประโยชน์ของสหรัฐและพันธมิตร
ระบุว่า สหรัฐต้องเพิ่มทบทบาทในภูมิภาคนี้ ไม่น้อยกว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ระบุว่า อียู และนาโต คือพันธมิตรที่กำลังทุ่มเทความสนใจมายังภูมิภาคนี้เช่นกัน
ระบุว่า กำลังกระชับไมตรีกับ 5 ประเทศในภูมิภาคนี้ คือ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และไทย
ฯลฯ
จากแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐดังกล่าว ปัจจุบัน เราเห็นออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ผนึกกับสหรัฐต้านจีนอย่างชัดเจนแล้ว ล่าสุด เมื่อการเมืองฟิลิปปินส์เปลี่ยนขั้ว ปรากฏว่า สหรัฐได้เข้าไปตั้งฐานทัพเพิ่มเติมอีก รวมเป็น 9 แห่งแล้วในปัจจุบัน
ส่วนกรณีประเทศไทย (หนึ่งใน 5 ประเทศเป้าหมาย) เราเห็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประกาศไว้ตั้งแต่ก่อนจะเดินทางมาทำงานที่ในไทยด้วยซ้ำ ว่าจะมาผลักดันไทยให้กดดันเมียนมา ซึ่งพรรคก้าวไกลก็มีแนวนโยบายต่างประเทศสอดรับกันพอดี
3.สหรัฐอ้างว่า เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และเข้าใจถึงความเป็นที่เคารพยกย่องอย่างสูงที่ปวงชนชาวไทยมีต่อราชวงศ์
แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยกลับรู้เห็นตรงกันข้าม
เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ประชาชนคนไทยเดินทางไปยื่นหนังสือประท้วง ที่สถานกงสุลฯ สหรัฐอเมริกา ประจำจังหวัดเชียงใหม่ โดยส่งหนังสือถึง Mr.Robert F.Godec เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย และส่งต่อไปยังรัฐสภาอเมริกา โดยระบุว่า
...เพื่อเป็นการสื่อสารถึงสมาชิกวุฒิสภา รัฐบาลอเมริกาและคนอเมริกันทุกคน ในการหยุดแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์
ปัจจุบันนี้ กิจการภายในของประเทศไทยกำลังถูกแทรกแซงจากสภาของสหรัฐอเมริกา อาทิ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Ms.Susan Wild ได้เสนอร่างมติสภาผู้แทนราษฎร 369 (H.Res. 369) เข้าไปที่สภาผู้แทนราษฎร ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งร่างมติดังกล่าวได้ถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และได้ผ่านการพิจารณาจากสภาของสหรัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งรายละเอียด ข้อ 5 ของร่างมตินี้ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยและยุติการดำเนินคดีกับนักกิจกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะเด็ก และนักเรียน เว้นจากการข่มขู่ คุกคาม หรือฟ้องดำเนินคดีผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบและกิจกรรมทางพลเมืองโดยทั่วไป
และในข้อที่ 8 มีการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การเลือกตั้ง ยกตัวอย่างเช่น มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และ กฎหมายเกี่ยวกับยุยงปลุกปั่น
มติที่นำเสนอโดย Ms.Susan Wild ดังกล่าวยังระบุอย่างชัดแจ้งว่า หากมีการแทรกแซงโดยกองทัพหรือกษัตริย์ก่อน ระหว่าง หรือหลังการเลือกตั้งทั่วไป ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม จะกระทบต่อความเป็นทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ และประเทศไทย รวมถึงการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแก่ประเทศไทย นี่ยังไม่รวมถึงการแทรกแซงถึงเรื่องยุยงปลุกปั่นให้ไทยกับพม่ามีปัญหาระหว่างประเทศ
จากสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดข้างตัน เครือข่ายคนเชียงใหม่รักในหลวงมีความรู้สึกไม่สบายใจ ที่มิตรประเทศของเรากำลังเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยในลักษณะก้าวก่าย,ครอบงำ และกดดันให้ประเทศไทยทำตามที่สหรัฐอเมริกาต้องการให้เป็น ซึ่งระเบียบและกฎเกณฑ์กติกาสากล มีการระบุไว้ชัดเจนว่าแต่ละประเทศมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง... ขอให้ประเทศสหรัฐอเมริกาทบทวนบทบาทที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้
4.น่าสังเกตว่า ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล มีท่าทีแนวทางนโยบายต่างประเทศที่เป็นปฏิปักษ์กับจีน เอนเอียงเข้าทางสหรัฐอย่างชัดเจน
ถึงขนาดเคยกล่าวด้อยค่าความสัมพันธ์ที่ไทยมีต่อซาอุฯ จีน ฯลฯ หาว่าไทยตกต่ำ
แม้แต่หัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ประกาศหลายครั้งถึงความต้องการจะแสดงบทบาทกดดันเมียนมา เข้าทางความต้องการของสหรัฐฯ ซึ่งเขาอยากให้ไทยมีบทบาทนำในการเผชิญหน้ากับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนที่มีสัมพันธ์อันดีกับจีน-ขั้วตรงข้ามของสหรัฐ
5.ขอชื่นชมรัฐบาลปัจจุบันที่ยังเดินหน้าสานสัมพันธ์อันดีกับขั้วตรงข้ามของสหรัฐต่อไป ควบคู่การรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฉันทมิตรประเทศ ไม่ใช่ประเทศรัฐบริวาร
รัฐบาลลุงตู่ฟื้นสัมพันธ์ “ไทย-ซาอุฯ” ในรอบ 32 ปี ปลดล็อกเงื่อนไขด้านต่างๆ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม แบบครบทุกมิติ สร้างโอกาสด้านการค้า การลงทุน แรงงาน และ ความร่วมมืออีกมากมายในอนาคต
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญเรื่องแผนการขับเคลื่อน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคี หลังจากมีการเปิดประเทศไทย-ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีการติดตามความคืบหน้าด้านต่างๆ หลังจากฟื้นฟูความสัมพันธ์มาระยะหนึ่งแล้ว โดยสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงาน ได้ติดตามโครงการต่างๆ ให้มีการพัฒนาและการดำเนินการคืบหน้าไป
ภาพรวมมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างไทย-ซาอุฯอยู่ที่ 3.23 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.64 %
ด้านนักท่องเที่ยว ในปี 2565 มีนักท่องเที่ยวซาอุฯเดินทางเข้าไทย ประมาณ 96,389 คน สร้างรายได้กว่า 8,000 ล้านบาท และสิ้นปี 2566 คาดว่า นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1.5 แสนคนสร้างรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มเที่ยวบินจาก 9 เที่ยวต่อสัปดาห์ เป็น 42 เที่ยวต่อสัปดาห์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา คุณดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำคณะผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ เดินทางไปเยือนซาอุฯ (ตามคำเชิญของซาอุฯ) เข้าหารือกับนาย Khalid bin Abdulaziz Al-Falih รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนซาอุดีอาระเบีย ที่กรุงริยาด
โดยมีผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนชั้นนำของไทยและซาอุดีอาระเบียเข้าร่วมด้วยกว่า 100 คน อาทิ Public Investment
Fund (PIF) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ทั้งสองฝ่ายแสดงความพึงพอใจพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างกัน การค้าการลงทุน และการแลกเปลี่ยนการเยือนในช่วงที่ผ่านมา พร้อมหารือแนวทางการยกระดับความสัมพันธ์ และการส่งเสริมความร่วมมือในระยะต่อไป อาทิ พลังงาน การท่องเที่ยว ความมั่นคงทางอาหาร
กลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ 6 สาขา ได้แก่ พลังงานสีเขียว อุตสาหกรรมปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้างและการบรรจุผลิตภัณฑ์ เกษตรกรรมและอาหาร เกมส์และอี-สปอร์ต การท่องเที่ยวและสุขภาพบริการ
ยกตัวอย่าง
ช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซาอุฯยังคงส่งปุ๋ยให้ไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ Saudi Basic Industries Corporation (SABIC) มี market share ของธุรกิจปุ๋ยในไทยมากถึง 45% แสดงความสนใจที่จะร่วมมือและขยายการลงทุนกับไทยในธุรกิจอื่นเพิ่มเติม เช่น Automotive, Chemical, Electronic และ Healthcare โดยที่ผ่านมาบริษัท SABIC มองว่าประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่ดี
บริษัทในธุรกิจอาหารเพื่อลงทุนร่วมกันในอนาคต ด้านสุขภาพ ผู้ประกอบการไทยอย่าง บริษัท เฮลท์ แอนด์ เวลเนส เมเนจเมนท์ คอนซัลแทนท์ จำกัด ได้ร่วมกับ Quality of Life Tourism Company ของซาอุฯ ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับ health & wellness center 3 โครงการ ทั้งในซาอุฯและไทย โดยมูลค่าการลงทุนรวมมากถึง 17,500 ล้านบาท
ด้านการท่องเที่ยว มีการตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวซาอุฯที่จะเดินทางมาไทยในปี 2566 ถึง 200,000 คน โดยมีการคาดการณ์ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย/คน/ทริป ประมาณ 80,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูง ทั้งนี้ ซาอุฯ ยังมีแผนเพิ่มเที่ยวบินเส้นทางริยาด -ภูเก็ต ตลอดจนการเตรียมเปิดสายการบิน Riyadh Air โดยมีฝูงบินมากถึง 200 ลำ จากการขยายตัวภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมา
หนึ่งในโปรเจกท์ใหญ่ของซาอุฯ อย่างโครงการปลูกต้นไม้ 10,000 ล้านต้น ตามเป้าหมายของ Vision 2030 โดยมีแผนที่จะนำเข้าต้นไม้จากทั่วโลกนั้น ปัจจุบันไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้เริ่มส่งต้นไม้ไปยังซาอุฯแล้ว กว่า 200,000 ต้น โดยต้นไม้ส่วนใหญ่มาจาก จ.นครนายก และ จ.ปราจีนบุรี และถือว่ามีโอกาสให้ไทยในการส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุฯ อีกมาก
ซาอุฯ เสนอให้ไทยช่วยสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Saudi Expo 2030 ขณะที่ไทยเองก็ขอให้ซาอุฯ สนับสนุนการเสนอตัวชิงเจ้าภาพจัดงาน Phuket Expo 2028 เช่นเดียวกัน ฯลฯ
เห็นนักการเมืองบางพรรค ด้อยค่าการคบค้ากับซาอุฯ
ในเมื่อสหรัฐฯ คบใคร เรายังไม่เคยไปก้าวก่าย
อยากจะถามแค่ว่า ไทยคบซาอุฯ คบจีน คบขั้วอำนาจตรงข้ามสหรัฐฯ มันหนักหัวใคร?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี