สิ่งที่เรียกว่าตุลาการภิวัฒน์ได้ทำให้ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศเสื่อมทรุดครั้งใหญ่ เพราะเป็นกระบวนการที่นำไปใช้ในการกำจัดการได้อำนาจทางการเมืองของบางพรรคและบางกลุ่มการเมือง แต่ในที่สุดก็ไม่พ้นจากการรัฐประหารอยู่ดี
ควรที่จะได้ตระหนักได้แล้วว่าการใช้กระบวนการตุลาการภิวัฒน์นั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้เลย รังแต่จะทำให้ปัญหาขยายตัวลุกลามบานปลายมากขึ้นไปอีก
หลังการยึดอำนาจ 2549 เหตุการณ์ก็กลับมาซ้ำรอย ในที่สุดก็ต้องใช้ทั้งกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ที่มีการยุบพรรคการเมืองถึง 7 พรรค แต่ในที่สุดก็ต้องอาศัยการปลุกระดมพลังประชาชนให้เกลียดชังกัน ทำการต่อสู้กันและกัน จนในที่สุดก็เกิดการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 และเป็นที่มาของกระบวนการสืบทอดอำนาจ ตลอดจนการสร้างระบบกฎหมายที่วิปริตวิปลาสขึ้น และกลายเป็นสาเหตุสำคัญของวิกฤตของบ้านเมืองในปัจจุบันนี้
แต่ปรากฏว่าหามีใครสำเหนียกและสำนึกในความเสียหายของการใช้กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ไม่ และไม่ตระหนักสังวรถึงการตั้งขบวนการปลุกระดมประชาชนให้แตกแยกแตกสามัคคีกัน ซึ่งเพียงเพื่อเป็นเงื่อนไขให้แก่การรัฐประหาร ดังนั้นกรรมวิธีการสองกระบวนที่เคยใช้มาตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 2549 และ 2557 ก็ยังคงเหมือนเดิม
มีการขยับและขยายกระบวนการตุลาการภิวัฒน์อยู่เหมือนเดิม แต่ดูเหมือนว่ามนต์ขลังจะเสื่อมโทรมลง เพราะผู้พิพากษาตุลาการและผู้เกี่ยวข้องต่างก็เห็นความจริงอยู่ทั่วกันว่าเป็นการทำลายความยุติธรรมของประเทศและแก้ปัญหาไม่ได้นอกจากนั้น ระบบงานตุลาการได้สร้างเกราะคุ้มกันที่แข็งแกร่งขึ้นในรูปแบบที่เรียกว่าบรรทัดฐานแห่งคำวินิจฉัย
อันเป็นการป้องกันการใช้อำนาจมืดครอบงำแทรกแซง แต่บรรดาผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการนี้ก็มิได้สำเหนียก ยังคงดึงดันจะย่ำยีใช้กระบวนการยุติธรรม
ต่อไป แต่แทบจะไม่ได้ผลแล้ว
คงเหลืออีกกระบวนการหนึ่งคือการตั้งขบวนที่สร้างความแตกแยกแตกสามัคคีในชาติ ขีดเส้นแบ่งแบ่งประชาชนในชาติออกเป็นสองพวก คือพวกโหนสถาบันและพวกชังชาติ ชังเจ้า จากนั้นก็ขยายผลเป็นขบวนการใหญ่ มีเครือข่ายโยงใยกว้างขวาง สร้างความแตกแยกแตกสามัคคีในชาติอย่างร้ายแรงชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สภาพไม่ต่างกับเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง โดยผู้เกี่ยวข้องไม่นำพาต่อบทพระคาถาประจำแผ่นดินที่ทรงเตือนใจไทยทั้งหลายว่าต้องสามัคคีกันไว้
ความแตกแยกในชาติได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง และได้ถูกใช้ในการเลือกตั้ง ตั้งแต่การเลือกผู้ว่าฯกทม. และการเลือกตั้งใหญ่ 2566 ผลปรากฏว่าฝ่ายโหนเจ้า
แอบอ้างเจ้าพ่ายแพ้ยับเยินทั้งสองครั้ง ประชาชนเกือบทั่วทั้งกรุงเทพฯ ได้ลงประชาทัณฑ์ให้กับความถูกต้อง แต่ขบวนการนี้ก็ไม่ได้สำนึก ยังคงดื้อรั้นใช้วิธีการเดิมต่อไปในการเลือกตั้งทั่วไป 2566
ผลปรากฏว่าประชาชน 27 ล้านคน มีฉันทามติเลือกพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามกับขบวนการโหนเจ้าอ้างเจ้าชนิดไม่เห็นฝุ่น แต่ก็หาสำนึกไม่ ยังพยายามใช้กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ต่อไป แต่ในที่สุดก็ล้มเหลวสิ้นเชิง ในขณะที่ทำให้การแตกสามัคคีภายในชาติยิ่งขยายตัวและสร้างความเสียหายแก่สถาบันสำคัญของประเทศอย่างรุนแรง
บัดนี้ประชาชนชาวไทยได้ตระหนักถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติและสถาบันสำคัญๆ ต่างๆ ดังนั้นจึงมีความพยายามอย่างกว้างขวางที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งนี้เดินหน้าประเทศไทยใหม่
ปานนี้แล้วบางพวกก็ไม่ได้สำนึก ยังใช้ขบวนการนักร้องกล่าวหาขัดขวางกระบวนการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตยอย่างดื้อด้าน ช่วงการเลือกตั้ง 2566 นี้ก็เสกสรรปั้นแต่งเรื่องขึ้นกล่าวหาร้องเรียนเกือบ 20 คดี
ในขณะเดียวกันก็ได้ปั่นกระแสปลุกระดมประชาชนให้เกลียดชังกันอย่างกว้างขวาง ตัวแสดงละครทั้งที่เป็นอดีตข้าราชการ คอลัมนิสต์ พิธีกรและนักวิชาการดาหน้ากันปลุกกระแสเพื่อให้คล้อยตามไปกับสิ่งที่ร้องเรียนนั้น
ลืมนึกไปว่าปรากฏการณ์เช่นนั้นได้ทำให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศเห็นประจักษ์ถึงขบวนการขัดขวางประชาธิปไตย ซึ่งเกิดผลสะท้อนกลับในทางเห็นอกเห็นใจแก่ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาร้องเรียน
ในที่สุดหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายก็ได้พิจารณายกคำฟ้องยกคำร้องเกือบทั้งหมดไปแล้ว ทำให้เห็นความแจ่มใสของบรรยากาศว่ากระบวนการประชาธิปไตยของประเทศจะได้เดินหน้าไปตามครรลอง ซึ่งจะเป็นการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจเกิดลักษณะการปฏิวัติสี การปฏิวัติประชาชาติ และการรัฐประหารได้อย่างมีพลัง
ฉันทามติของประชาชน 27 ล้านคน นั้นสะเทือนสะท้านทั้งประเทศ แม้ปานนั้นแล้วยังมีคนไม่รู้จักยางอาย หาเหตุผลมาอ้างว่ายังมีจำนวนน้อยกว่าประชาชนที่เหลือทั้งหมดของประเทศไทย
นับเป็นข้ออ้างที่อัปยศอดสูที่สุดแห่งชาติ และไม่ควรที่คนประเภทนี้จะยืนเชิดหน้าอ้าปากอยู่ในหน่วยงานใดๆ แห่งระบอบประชาธิปไตยเลย เพราะทั่วโลกนั้นล้วนมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และได้รับเสียงข้างมากในลักษณะนี้
ไม่มีที่ไหนในโลกที่จะนับจำนวนประชากรที่เหลือว่าเป็นประชากรข้างมาก เพราะนั่นไม่ได้มีผลต่อการได้มาซึ่งรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
ประชาชนไทยจะต้องจำอยู่จำยอมกับมนุษย์ที่ไร้ยางอายอย่างนี้ไปอีกนานเท่าใดหนอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี