การแจ้งความเพื่อดำเนินคดีโดยผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า เพื่อให้ดำเนินคดีต่อผู้ที่มีแนวคิดในการแบ่งแยกดินแดนของ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่บุคคลกลุ่มดังกล่าวเรียกว่ารัฐปาตานี โดยการจัดเวทีเสวนาที่วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน อันเป็นเรื่องที่เข้าข่ายของความผิด ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตราที่ 1 ที่เขียนไว้ว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว และคาดหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการเรื่องนี้ ให้เสร็จสิ้นกระแสความโดยเร็ว ซึ่งรวมไปถึงการลงโทษต่อผู้กระทำผิด
หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เกิดเหตุการณ์ซึ่งอาจจะเทียบเคียงกันได้ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 ที่บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง โดยกลุ่มคนที่เรียกว่าคณะก่อการล้านนาใหม่ ได้กระทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและล่วงละเมิดต่อสถาบัน ทั้งในมาตราที่ 1 ของรัฐธรรมนูญ และความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งผู้บังคับการมณฑลทหารบก ที่ 33 ที่รับผิดชอบเรื่องความมั่นคงของรัฐในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ก็ได้เข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มคนดังกล่าวแล้วเช่นกัน
การที่นักการเมือง พรรคการเมืองบางพรรคและกลุ่มคนที่ฝักใฝ่ ได้กระทำการหลายครั้งและหลายเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ดี การแบ่งแยกประเทศก็ดี การจัดการปกครองก็ดี และปลูกฝังแนวคิดในลักษณะของการล้างสมองเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้หลงใหลในคำว่าเสรีภาพ โดยอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย จะทำสิ่งใดก็ย่อมได้ ไม่ต้องยึดกฎระเบียบกฎหมายบ้านเมืองอีกต่อไป จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและเป็นอันตรายอย่างยิ่งในระยะยาวต่อชาติของเรา ซึ่งพระมหากษัตริย์ไทยได้ก่อร่างสร้างเมืองสร้างชาติมาเป็นระยะเวลายาวนานอย่างต่อเนื่องมากกว่า 780 ปีแล้ว และเป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยที่มีความรักชาติศาสน์ กษัตริย์ จะต้องช่วยกันปกปักรักษาชาติและสถาบันเหล่านี้ไว้ให้ได้
กว่าที่ชาติไทยเราจะรวมกันเป็นปึกแผ่นนั้น บันทึกทางประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ได้บอกไว้อย่างชัดเจนพอสมควรว่า ต้องมีการรวบรวมอาณาจักรต่างๆ ซึ่งหมายถึงชุมชนขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ เพื่อให้มาเป็นกลุ่มคนเดียวกัน มีผู้ปกครองสูงสุด คือกษัตริย์เพียงพระองค์เดียว โดยมีเมืองต่างๆ ที่อยู่รายรอบทั้งใกล้และไกล เป็นเมืองบริวาร มีผู้ปกครองเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง
ในส่วนภาคเหนือของประเทศในอดีตนานกว่า 1,000 ปีมาแล้ว มีอาณาจักรอยู่หลายอาณาจักร โดยมีอาณาจักรล้านนาเป็นอาณาจักรใหญ่และอาณาจักรสุดท้ายที่ถูกรวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชาติไทยอย่างแท้จริง อยู่ภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
การเกิดของอาณาจักรล้านนาเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะต้องมีการรวบรวมหลายอาณาจักรเข้าด้วยกัน และกษัตริย์องค์สำคัญที่เป็นผู้รวบรวมอาณาจักรนี้ คือพระเจ้าเม็งรายมหาราช ทรงขึ้นครองราชย์ที่เมืองเงินยวงเมื่อปีพุทธศักราช 1804 โดยพระองค์สืบเชื้อสายมาจากผู้ครองเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน ซึ่งได้รวบรวมเมืองโยนกนาคนครเชียงแสน นครสวรรค์โคมคำ และเมืองอื่นๆในลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก แม่น้ำอิง ตลอดจนปิง วัง ยม น่าน ตั้งแต่อาณาจักรสิบสองปันนามาจนถึงหริภุญชัย
พระเจ้าเม็งรายมหาราชได้ยกทัพเข้ายึดอาณาจักรหริภุญชัย ซึ่งฤาษีวาสุเทพ เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 1310 แล้วอัญเชิญพระนางจามเทวี ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ขอมจากเมืองละโว้ ขึ้นไปครองเมืองหริภุญชัย ซึ่งอาณาจักรหริภุญชัยได้มีความเจริญเติบโตมาเป็นระยะเวลาถึง 618 ปี มีกษัตริย์ครองเมืองถึง 48 พระองค์ก่อนที่จะถูกพระเจ้าเม็งรายมหาราชยึดมาได้ และถูกรวมมาเป็นส่วนหนึ่ง ของอาณาจักรล้านนา
ในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ ศิลาจารึกวัดเชียงมั่นได้บันทึกไว้ว่า พ่อขุนเม็งรายแห่งแคว้นล้านนาพ่อขุนงำเมืองแห่งแคว้นพะเยา และพ่อขุนรามคำแหงแห่งแคว้นสุโขทัย ได้ร่วมกันสร้างเมือง “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” โดยเริ่มสร้างเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 1839 และได้ย้ายเมืองหลวงของล้านนามาอยู่ที่เมืองนี้
พ่อขุนเม็งรายหรือพญามังรายครองราชย์อยู่เป็นระยะเวลา 50 ปี ทรงเป็นนักรบและนักปกครองที่สามารถ ได้ขยายอาณาเขตไปครอบครองเมืองแม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน เชียงราย จรดเขตแดนเมืองเชียงตุงเชียงรุ้ง และสิบสองปันนา โดยหลังจากสิ้นพระชนม์แล้ว ก็มีกษัตริย์ของราชวงศ์มังราย อีก 16 พระองค์ได้สืบสันตติวงศ์ต่อมาเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 260 ปี กษัตริย์ผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถอีกพระองค์หนึ่งในยุคนี้ คือพระเจ้าติโลกราชผู้เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 9 เมืองเชียงใหม่ได้เสียเอกราชให้แก่พม่าในสมัยพระเจ้าบุเรงนองเมื่อปีพ.ศ 2101 ทำให้พม่าครอบครองเมืองเชียงใหม่อยู่เป็นระยะเวลานานร่วม 200 ปี จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงได้ยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่คืนมา และให้เป็นเมืองประเทศราช โดยมีพระยากาวิละแห่งตระกูลเจ้า 7 ตนเป็นผู้ปกครองเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งลำพูนและลำปาง จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้ยกเลิกเมืองประเทศราช ทำให้เชียงใหม่เป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรรัตนโกสินทร์หรือชาติไทยโดยสมบูรณ์
พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ ถูกจัดสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2526 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2527 พระบรมราชานุสาวรีย์และสถานที่แห่งนี้จึงถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ใดมิควรจะละเมิด
จะเห็นได้ว่า ก่อนที่จะเป็นราชอาณาจักรไทยได้นั้น พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในทุกยุคสมัย ตั้งแต่เริ่มมีการก่อสร้างชาติ ด้วยการรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆ เพื่อจะให้เข้ามารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้ประชาชนได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขนั้น ต้องอาศัยพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ รวมทั้งความรักสามัคคีของคนในชาติเป็นอย่างมาก
พรรคการเมือง นักการเมือง หรือประชาชนคนใด หากลืมรากเหง้าของตัวเอง ซึ่งหมายถึงความเป็นมาของชาติและสถาบันที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน อันประกอบไปด้วยชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยมีแต่แนวคิดที่ว่า ประเทศต้องเป็นประชาธิปไตย ต้องลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ประชาชนทุกคนจะต้องมีเสรี จะทำสิ่งใดก็ย่อมได้แม้แต่การละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมือง จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะได้รับการยอมรับและถือว่าเลวร้าย และที่นับว่าเลวร้ายที่สุดคือการทำให้เกิดความแตกแยกสามัคคีของคนในชาติ จนไปถึงการแบ่งแยกกลุ่มชนและแผ่นดินนี้ออกไป ซึ่งเท่ากับการแบ่งแยกชาติไทยนั่นเอง
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี