เป็นเรื่องตลกแบบไร้สติสิ้นปัญญากับการที่คนบางจำพวกยกตัวเองว่าเป็นเทพ และถีบอีกฝ่ายไปเป็นมาร แล้วก็ไร้สติสิ้นดีที่ยกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แล้วผลักอีกฝ่ายเป็นเผด็จการ ทั้งๆ ที่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนมาจากการเลือกตั้งเหมือนๆ กัน หากเชื่อแบบไร้สติเช่นนี้ก็ต้องถามว่า แล้วจะมีการเลือกตั้งไปทำไม เพื่ออะไร
คนไทยจำนวนมากเชื่อว่าการเลือกตั้งเป็นการบ่งบอกความเป็นประชาธิปไตยแบบสุดยอด บางคนพาลคิดไปเองอีกว่า เมื่อมีเลือกตั้งก็เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แล้ว
ต้องบอกตรงๆ ว่า การคิดแบบนั้น เป็นการคิดแบบลวกๆ คิดแบบไม่รอบคอบ คิดโดยปราศจากการทบทวนและไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน
ถามว่า ในการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยการทุจริตฉ้อฉล แม้ผลเลือกตั้งจะออกมาอย่างไรก็ตาม แบบนี้จะถือว่าเป็นประชาธิปไตยกระนั้นหรือ หรือเป็นประชาธิปไตยแบบฉ้อฉล เนื่องจากเห็นว่าแค่มีการเลือกตั้ง ก็รีบสรุปว่าเป็นประชาธิปไตย โดยไม่ได้ดูเนื้อแท้ของการเลือกตั้งแม้แต่น้อย
ยกตัวอย่างเพิ่มเติม ในการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยพรรคผัว พรรคเมีย พรรคพ่อ พรรคแม่ พรรคลูก พรรคโคตรเหง้าศักราชเดียวกัน แบบนี้ต่อให้มีการเลือกตั้ง ก็ไม่มีวันเป็นประชาธิปไตย เพราะไม่ต่างไปจากเลือกเอาก็แล้วกันว่าจะดื่มยาพิษชนิดพิษรุนแรงเฉียบพลัน กินแล้วตายในบัดดล หรือเลือกกินน้ำครำที่สกปรกแบบสุดแสนจะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้อีกแล้ว การเลือกตั้งแบบเลือกเอาว่าจะกินยาพิษกับกินน้ำครำ ถือเป็นการเลือกตั้งตามรูปแบบประชาธิปไตยหรือ
การให้คนไปเลือกตั้งเป็นเรื่องดีแต่ก็ต้องดูให้ลึกลงไปด้วยว่าคนที่ไปเลือกตั้งนั้นมีสติปัญญา มีความรอบรู้ มีความเฉลียวฉลาด สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้จริงหรือไม่ การเลือกตั้งโดยคนที่ไร้ปัญญา เห็นแก่ได้ ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม ผลการเลือกตั้งก็จะออกมาแบบนรกสุดๆ แล้วก็จะได้นรกสุดๆ อีกเช่นกันไปเป็นตัวแทนในสภา ซึ่งเรื่องนี้เราทุกคนคงเห็นชัดมานานแล้ว แต่ก็น่าอัศจรรย์ที่ยังมีคนบอกว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่คนมีสิทธิเลือกตั้งไม่มีความรู้ ความเข้าใจในหลักการประชาธิปไตย แต่คิดแค่เพียงว่าเลือกเพราะต้องการได้ของตอบแทนเท่านั้น
การเลือกตั้งในประเทศที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตย ให้ผลลัพธ์ต่างจากการเลือกตั้งในประเทศที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจถ่องแเท้ในหลักการประชาธิปไตยโดยแท้จริง เพราะฉะนั้น ในประเทศที่ผู้คนไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตยจึงถูกหลอกล่อโดยนักเลือกตั้งตลอดเวลา
ถามต่อไปว่า ในการเลือกตั้ง สส. หากพรรคการเมืองที่ส่ง สส. ลงชิงชัย ประกาศเป็นนโยบายพรรคว่า นโยบายหลักคือล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยอ้างว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอุปสรรคของระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นจึงต้องล้มล้างให้สิ้นไป แต่ยังนับว่าดีที่พรรคการเมืองไทยไม่สามารถประกาศนโยบายเช่นนี้ได้ เนื่องจากติดขัดในข้อกฎหมาย แม้ในใจลึกๆ ต้องการจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มากสักเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถประกาศเป็นนโยบายได้ จึงทำได้แค่เพียงเบี่ยงไป เบี่ยงมา โดยบ่ายเบี่ยงว่าต้องแก้มาตราใดๆ ก็ตามที่ให้การคุ้มครองบุคคลในสถาบันพระมหากษัตริย์
เมื่อพรรคการเมืองมีนโยบายเช่นที่กล่าวในข้างต้นแล้ว ถามว่าพรรคการเมืองนั้นทำผิดกฎหมายหรือไม่ หากพรรคการเมืองทำผิดกฎหมาย แต่ทว่ามีคนส่วนหนึ่งดันเห็นด้วยกับสิ่งผิดกฎหมาย สรุปว่าจะเอาอย่างไร จะอ้างว่าประชาชนต้องการกระนั้นหรือ
พรรคการเมืองที่ทำผิดกฎหมายตั้งแต่เริ่มต้น จะอ้างว่าเพราะประชาชนสนับสนุน แล้วจะอ้างว่าเสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ อ้างแบบนี้ได้หรือ มีประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่ไหนให้การยอมรับข้ออ้างไร้สติสิ้นปัญญาเช่นนี้บ้าง
พรรคการเมืองพรรคหนึ่งลงชิงชัยในการเลือกตั้ง สส. ทั้งๆ ที่ประวัติของหัวหน้าพรรคเต็มไปด้วยความฉ้อฉล หมกเม็ด และโสมม แต่สุดท้ายพรรคนั้นได้คะแนนมาเป็นที่หนึ่งในการเลือกตั้ง เรื่องแบบนี้ก็สุดแสนจะน่าทุเรศจนเกินบรรยายแล้ว แต่ที่สามานย์ยิ่งกว่านั้นคือ พรรคการเมืองพรรคนั้นจงใจปลุกระดมมวลชนมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ สาธารณชนรู้เห็นมาโดยตลอดว่าพรรคดังกล่าวจงใจปลุกระดมเด็กและเยาวชนที่ไร้เกราะกำบังทางความคิดให้ลุกขึ้นมาแสดงพฤติกรรมผิดกฎหมายเป็นประจำ ครั้นเมื่อเด็กและเยาวชน (แต่บางครั้งก็มีคนแก่จำพวกกะโหลกกะลาเข้าไปร่วมทำผิดกฎหมายด้วย) ถูกจับกุม เพราะกระทำผิดกฎหมาย พรรคการเมืองที่ปลุกระดมเด็กและเยาวชนก็ใช้สิทธิ์การเป็น สส. ไปประกันตัวเด็กที่กระทำผิดกฎหมาย การกระทำแบบนี้เกิดขึ้นมาโดยตลอด สาธารณชนเห็นแจ้งประจักษ์ว่าเป็นพฤติกรรมของพรรคใด แล้วยังเห็นชัดด้วยว่า สส. ของพรรคนั้นได้เข้าไปสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนก่อการประท้วง
ถ้าหากเด็กและเยาวชนประท้วงโดยไม่มี สส. ของพรรคการเมืองดังกล่าวเข้าไปหนุนหลัง ก็อาจจะทำให้สังคมเข้าใจได้ว่า เด็กและเยาวชนก่อการประท้วงเอง แต่เมื่อมีหลักฐานว่า สส. ของพรรคที่พยายามล้มเจ้าเข้าไปหนุนหลังเด็ก แล้วอ้างว่าเป็นความต้องการของเด็ก เด็กคิดเองเป็น ก็ต้องบอกว่าเป็นคำอ้างที่สุดแสนน่าขยะแขยง
ถามต่อไปว่า ทำไม สส. และแกนนำพรรคที่ตั้งใจล้มเจ้าไม่ให้ลูกหลานของตัวเองเป็นหัวหอกในการโค่นล้มเจ้า ทำไมจึงล่อลวงแล้วใช้ให้เด็กที่ไร้เกราะกำบังทางความคิดไปก่อเหตุล้มเจ้า เรื่องนี้น่าสนใจมาก แต่กลับไม่มีเด็กๆ คนไหนสำเหนียกแล้วตั้งคำถามในประเด็นนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าเด็กๆ บางรายดันหลงระเริงคิดว่าตัวเองเด่นดัง โดดเด่น กล้าหาญเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพราะตนเองได้กลายเป็นบุคคลในข่าว ได้รับเสียงปรบมือ และตะโกนเชียร์จากคนที่หวังร้าย เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องลึกเกินไป เกินกว่าระดับสติปัญญาของเด็กไร้เดียงสาจะเข้าใจความหวังร้ายของนักการเมืองจากพรรคดังกล่าวได้ เด็กจึงตกเป็นเหยื่อ แล้วเมื่อเหยื่อกระทำผิดหนักจนไม่สามารถประกันตัวได้ สุดท้ายแล้ว พรรคการเมืองที่หลอกใช้เด็ก ก็ทิ้งให้เด็กกลายเป็นนักโทษ แล้วอ้างว่าเด็กกระทำการเอง โดยที่พรรคการเมืองไม่ได้เกี่ยวข้อง
ย้อนกลับไปที่ประเด็น พรรคการเมืองต้องการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วใช้เด็กเป็นเครื่องมือ เรื่องนี้เป็นเข้าใจได้โดยพลันเมื่อสังเกตพฤติกรรมของพรรคการเมืองนั้น โดยเริ่มตั้งแต่ปลุกระดมเด็กให้เคลื่อนไหวล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วไปประกันตัวเด็กที่กระทำผิด แล้วป่าวประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่า เด็กๆ ถูกรังแก กฎหมายไม่เป็นธรรม ยัดข้อหาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เด็กๆ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของเด็ก ดังนั้นต้องยกเลิกมาตรา 112 เพราะเป็นตัวปัญหา
ถามว่าพฤติกรรมในย่อหน้าข้างต้นนั้น สามารถบ่งบอกได้ใช่ไหมว่าพรรคการเมืองดังกล่าวคือต้นตอของการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเป็นผู้บงการ ปลุกระดม ยั่วยุ แล้วให้การสนับสนุนให้เกิดการกระทำผิดกฎหมาย
เกมการเมืองตื้นๆ แบบนี้ ไม่มีใครไร้สติ แล้วเชื่อว่าพรรคการเมืองนั้นไม่มีความต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่มันคือเครื่องบ่งชี้ชัดเจนว่าพรรคการเมืองนั้นคือ Mastermind (ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ หรือผู้วางแผนใดๆ)
ที่พูด (เขียน) ในข้างต้นนั้น คุณอ่านแล้วจะเข้าใจว่าพรรคการเมืองพรรคนั้นชื่ออะไร ใครเป็นหัวหน้าพรรคก็เป็นเรื่องที่คุณต้องคิดเอาเอง ส่วนอ่านแล้วจะคิดว่าไม่มีพรรคแบบนี้ในเมืองไทย ก็เป็นเรื่องของคุณอีกเช่นกันเพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับสติปัญญาและข้อมูลที่คุณมี ไม่มีใครบังคับให้คุณเชื่อได้ เพราะคุณแก่มากพอแล้ว จึงไม่ใช่เด็กไร้ปัญญา ที่ไร้เกราะกำบังทางความคิด ถึงแม้คุณอาจจะรักหรือเชียร์พรรคการเมืองนั้นๆ ก็เป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคลของคุณ แต่ความชอบนั้นก็สะท้อนระดับความรับผิดชอบต่อสังคม และสะท้อนระดับสติปัญญาของแต่ละคนด้วย
คราวนี้ย้อนกลับไปดูเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งมีพรรคการเมืองชื่ออนาคตใหม่ (ส่วนอนาคตใหม่จะเกี่ยวพันใกล้ชิดกับพรรคก้าวไกลแค่ไหน คุณคงรู้ดี ถ้าคุณมีสติ มีปัญญาพอประมาณ)
คุณที่ติดตามเหตุการณ์เมื่อช่วงปลายปี 2562 (เดือนพฤศจิกายน 2562) ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถือหุ้นบริษัทสื่อสารมวลชน คุณน่าจะจำได้ว่าในครั้งนั้น ในช่วงก่อนศาลฯ มีคำวินิจฉัย ก็ได้มีการรวมตัวของกลุ่มคนที่เชียร์ธนาธร โดยใช้ชื่อการรวมตัวว่า กลุ่มคนอยู่ไม่เป็น หรือรวมพลคนอยู่ไม่เป็น
สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดในการร่วมกลุ่มประท้วงในวันดังกล่าวคือ พวกเขาไม่ได้ล้มเจ้า และไม่ได้ชังชาติ และพวกเขาบอกว่า เขาโตแล้ว เขาเลือกเองได้ หลายคน
จำได้ดีด้วยว่า ในวันดังกล่าวนั้น มีนักการเมืองพรรคอนาคตใหม่เข้าไปร่วมชุมนุมด้วย และได้ขึ้นกล่าวกับคนที่ไปร่วมชุมนุม แต่บางคนวิพากษ์ว่าปลุกระดมมวลชน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะมองว่าเป็นแค่การปราศรัยหรือปลุกระดมมวลชน
คงไม่จำเป็นที่ต้องยกเอาคำวินิจฉัยของศาลฯ มาพูด (เขียน) ซ้ำในที่นี้อีก เพราะทุกคนทราบดีอยู่แล้ว แต่หากลืม ก็ขอให้กลับไปค้นหารายละเอียดอ่านอีกครั้ง
วันนั้น ธนาธรมีอายุ 41 ปี เขาบอกด้วยความที่แสนจะภูมิใจว่า พรรคอนาคตใหม่มีอายุพรรคเพียง 540 วัน แต่มีคนนิยมมากมาย พรรคของเขามีเจตจำนงการเมืองที่แน่วแน่ มีจุดหมายปลายทางของการเมืองจุดเดียวกับผู้คนมากมาย
แต่แล้วพรรคอนาคตใหม่ก็หมดอนาคตทางการเมืองไป ธนาธรก็หมดอนาคตทางการเมืองเช่นกัน แต่ธนาธรก็ยังสามารถเป็นผู้ที่มีบทบาททางการเมืองได้ตามแต่จะใช้ช่องว่างของกฎหมายแสดงเพื่อบทบาทต่างๆ
สิ่งหนึ่งที่ปรากฏในวันที่กลุ่มผู้เชียร์ธนาธรยกป้ายแสดงข้อความคือ การชี้หน้าว่าด่าคนอื่นว่าไม่จงรักภักดี ไม่ใช่การแสดงความจงรักภักดี คำพูดเหล่านี้ถูกตอกย้ำหลายครั้งจากนักการเมืองพรรคอนาคตใหม่ในวันเวลานั้น
ไม่มีใครปฏิเสธว่าการชี้หน้าด่าคนอื่นว่าไม่จงรักภักดี ไม่ใช่การแสดงความจงรักภักดี แต่ทว่าสิ่งที่ต้องคิดให้จงหนักก็คือ แต่เมื่อเราใช้สติประกอบปัญญาแล้วเห็นชัดถึงพฤติกรรมของนักการเมืองพรรคใดก็ตามที่บ่งบอกชัดเจนได้ด้วยสติปัญญาของวิญญูชนว่าทั้งนักการเมืองและพรรคการเมืองไม่จงรักภักดี แถมยังตั้งใจโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย แบบนี้เราจะไม่แค่ชี้หน้าเขาเพื่อบอกสังคมว่าเขาตั้งใจล้มเจ้า แต่เราจะต้องฟ้องร้องดำเนินคดีเอาผิดกับเขาด้วย
เพราะเขาขี้ขลาดตาขาวเกินไป เขาจึงกลัวความผิด ทั้งๆ ที่เขาคิดตลอดเวลาว่าต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เขาแสดงความขี้ขลาดตาขาวด้วยการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 เพราะเขาคิดว่าเมื่อไม่มีมาตรา 112 แล้ว เขาจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ได้สะดวกดาย แต่ต้องบอกว่าพวกเขาเข้าใจผิดมหันต์ เพราะสำหรับคนที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไทยแล้ว แม้ไม่มีมาตรา 112 ผู้ที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ก็ไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นอันขาด
วันนี้ไม่มีพรรคอนาคตใหม่อีกต่อไปแล้ว แต่ยังมีพรรคที่สืบสายมาจากอนาคตใหม่ นั่นคือพรรคก้าวไกล พรรคก้าวไกลจะทำตามซ้ำรอยเดิมเหมือนที่อนาคตใหม่ได้กระทำไปแล้วหรือไม่ หลายคนกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด แล้วทุกคนที่ติดตามพรรคก้าวไกลก็รู้ดีว่า พรรคก้าวไกลคือพรรคที่มาจากพรรคอนาคตใหม่
เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ขอให้จับตามองและเฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิด รับรองว่าก้าวไกลจะไม่ทิ้งแนวคิดอนาคตใหม่อย่างแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี