จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป 14 พ.ค.2566 ที่ปรากฏว่าจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศจำนวน 52,195,920 คน มีผู้มาใช้สิทธิ์ 39,514,973 คน คิดเป็น 75.71% ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย-พรรคก้าวไกล ได้ที่นั่งในระบบเขตพรรคละ 112 ที่นั่ง, ในระบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้คะแนน 14,438,851 จำนวน 39 ที่นั่ง, พรรคเพื่อไทย ได้คะแนน 10,962,522 จำนวน 29 ที่นั่ง, ฯลฯ
สถานการณ์ทางการเมืองมองผลการเลือกตั้งก็ไม่น่ามีปัญหาในการเลือกสรรนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และจัดตั้งรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีเมื่อพรรคการเมือง 8 พรรคอ้างตนเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนรวมเสียงกันได้เสียงข้างมากของสภาฯประกาศจัดตั้งรัฐบาล โดยมีชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็น “ตัวตึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี” ในการเสนอชื่อให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ยิ่งบัดนี้มีพระบรมราชโองการเปิดสมัยประชุมรัฐสภาสมัยสามัญครั้งที่หนึ่ง และมีการกำหนดเปิดประชุมรัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรีแล้วในวันที่13 กรกฎาคม 2566 เวลา 09.30 น.
แต่สถานการณ์ไม่เหมือนอย่างที่คิด เพราะอาการหิวแสงหลงตัวเองสับสนวกวนคล้ายสมภารกร่าง
“สมภารกร่าง” ในนวนิยาย “ไผ่แดง” ที่เป็น“ไบโพล่า” ที่สามัญสำนึกหนึ่งยึดติดกับกิเลสตัณหาแต่อีกสามัญสำนึกหนึ่งเป็นเสมือน “พระศรีารย์พระโพธิสัตว์ผู้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 และองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปนี้ ทำให้โลกนี้สงบสุข และประเทศชาติพระศาสนาจะมีความรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีมีความสุขไม่มีเรื่องร้อนใจ
เพราะจากนี้สังคมไทยจะบันเทิงใจ...“ด้วยสุราก้าวหน้า ซ่องโสเภณีเสรี กะหรี่ก้าวไกล”
ทว่าพฤติกรรมของ‘พิธาคิโอ-ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” กลับกลายเป็นความสับสนวกวนหาตัวตนที่แท้จริงไม่เจอย้อนแย้งในตัวเอง อย่างกรณีการถือครอง “หุ้นสื่อไอทีวี” ที่เขาอ้างว่าเป็น “นิติสงคราม” เพื่อจะกีดกันเขาจากเก้าอี้นายกฯ ทั้งที่เป็นประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยว่า ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 98 อนุมาตรา 3 อันเป็นคุณสมบัติต้องห้ามของผู้สมัครสส.หรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นไม่คำนึงถึงระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งที่ปากพร่ำตอกย้ำเสมอว่าเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย โดยปลุกปั่นให้ “ด้อมส้ม” กดดันผู้เห็นต่าง
300 นโยบายเปลี่ยนประเทศ กับ 9 นโยบายหลัก 1.ประชาธิปไตยเต็มใบ, 2.สวัสดิการครบวงจร, 3.จังหวัดจัดการตนเอง, 4.ราชการเพื่อราษฎร, 5.ปฏิวัติการศึกษา 6. เกษตรก้าวหน้า, 7.สิ่งแวดล้อมยั่งยืน, 8.สุขภาพดี ทั้งกาย-ใจ,9.เศรษฐกิจโตเพื่อทุกคน” และนโยบาย “แก้ไข/ยกเลิก มาตรา 112”, ก็มีลักษณะบ่อนทำลาย3 สถาบันหลักของชาติ ขัดต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทว่านี่คือความมุ่งมั่นที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่บริบทนี้
“พิธา, พรรคก้าวไกล และด้อมส้ม/อุปกรณ์การเกษตร” ส่งเสียงเพรียกร้องที่พยายามกดดันฝ่ายเห็นต่าง แต่ไม่เคยตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาแม้แต่น้อย ยังดึงดันเดินหน้าตามความต้องการของตนเอง และพวกพ้อง “รอวันพังเพราะแพ้ไม่เป็น” แต่ร่านเก้าอี้ผู้นำ พฤติกรรมสับสนคล้าย “สมภารกร่าง”ในนวนิยายแนวเสียดสีสังคมและการเมืองที่ประพันธ์โดย “หม่อมป้า-พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เสาหลักประชาธิปไตยในช่วงหลังเหตุการณ์ วันมหาวิปโยค 14 ตุลา 2516
วิสัยทัศน์ “วันนอร์” กับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีสะท้อนประโยชน์ที่เกิดกับประเทศ, ประชาชนมันคุ้มค่ากันจริงหรือ
จะปล่อยให้ประเทศย่ำเท้าอยู่กับที่เพื่อรอ “พิธาคิโอ-ทิม, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และคณะสิน่ะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี